|       | ร่างกายของเรามีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับความร้อน  ความเย็น  ความกดอากาศ  การทำงานหนัก  รวมทั้งการไม่ออกกำลังกายหรือไม่เคลื่อนไหวเลย  การปรับตัวนี้มีผลไปถึงรูปร่างและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลง  จากการศึกษาถึงผลร้ายของการขาดการออกกำลังกายด้วยการให้ผู้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์นอนเตียงโดยไม่ให้ใช้กำลังกายเลยเป็นเวลา 2 – 3 สัปดาห์ พบว่า  ร่างกายมีการปรับตัวไปในทางเลวลง  กล่าวคือ  ผู้ถูกทดลองมีกระดูกบางลง  เม็ดเลือดและปริมาณเลือดน้อยลง  กล้ามเนื้อลีบกว่าเดิม  ความสามารถในการจับและขนส่งออกซิเจนน้อยลง  แรงบีบตัวของหัวใจและปริมาณเลือดที่สูบฉีดแต่ละครั้งน้อยลง ซึ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจขณะพักเพิ่มขึ้นกว่าปกติ  ผู้ถูกทดลองรู้สึกเหนื่อย  ใจสั่นเมื่อใช้กำลังเพียงเล็กน้อย เช่น ลุก  นั่ง  เดิน  หรือมีอาการหน้ามืดเมื่อลุกจากเตียงเร็ว  นอกจากนั้นเมื่อนำมาทดสอบสมรรถภาพทางกายยังพบว่า  สมรรถภาพทางกายน้อยลงทุกด้านเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนทดลอง  ผู้ถูกทดลองได้เข้ารับการทดสอบโดยขี่จักรยานวัดงานซึ่งกำหนดความฝืดระดับหนึ่ง  คือให้หัวใจเต้นเร็วเพียง  120  ครั้ง / นาที  และไม่เหนื่อย  แต่หลังจากนอน  2 – 3  สัปดาห์  เมื่อให้ทำงานในปริมาณเดิมอัตราการเต้นหัวใจกลับเพิ่มเป็น  170  ครั้ง / นาที  และเหนื่อยกว่าเดิม การออกกำลังกายเป็นวิธีธรรมชาติที่ทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายต้องทำงานมากกว่าปกติโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบโครงสร้าง  ระบบไหลเวียนเลือด  ระบบหายใจและระบบประสาทซึ่งจะต้องทำงานความสัมพันธ์กันด้วยความเหมาะสม  ดังนั้น  การออกกำลังกายจึงแบ่งออกได้  2  ชนิด ดังนี้ การแบ่งตามลักษณะการทำงานของกล้ามเนื้อ1. การออกกำลังกายแบไอโซเมตริก  (Isometric Exercise or Static Exercise)  หมายถึง  การออกกำลังกายแบบมีการหดตัวของกล้ามเนื้อ  ชนิดที่ความยาวของกล้ามเนื้อคงที่  แต่มีการเกร็งหรือตึงตัว (Tension)  ของกล้ามเนื้อเพื่อต้านกับแรงต้านทาน (ภาพประกอบ 6.1) ดังนั้น  เมื่อมีการออกกำลังกายชนิดนี้  อวัยวะต่าง ๆ จึงไม่มีการเคลื่อนไหวแต่มีการเกร็งของกล้ามเนื้อในลักษณะออกแรงเต็มที่ในระยะสั้น ๆ เช่น  ออกแรงดันผนังกำแพง  ออกแรงบีบวัตถุหรือกำหมัดไว้แน่น หรือในขณะนั่งทำงานเอวฝ่ามือกดลงบนโต็ะเต็มที่ เป็นต้น  จากการศึกษาพบว่า  การออกกำลังกายแบบไอโซเมตริกนี้  หากกระทำบ่อย ๆ เป็นประจำจะมีผลต่อการเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ  ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น  แต่มีผลน้อยมากในการเพิ่มสมรรถภาพของหัวใจหรือระบบไหลเวียนเลือด  การออกกำลังกายแบบไอโซเมตริกนี้  เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา  หรือสถานที่สำหรับออกกำลังกายด้วยวิธีอื่น ๆ เพราะเป็นการออกกำลังที่ใช้เวลาน้อย และสามารถกระทำได้เกือบทุกสถานที่  นอกจากนั้น ยังเหมาะสำหรับนักกีฬาที่เพิ่งฟื้นจากการบาดเจ็บ  เพราะไม่สามารถเคลื่อนไหวอวัยวะบางส่วนได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือโรคความดันเลือดสูง  ไม่ควรออกกำลังกายด้วยวิธีนี้  เพราะเมื่อมีการเกร็งกล้ามเนื้อจะทำให้หัวใจต้องทำงานเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับการเพิ่มของความดันเลือดเกือบทันทีจึงอาจเป็นอันตรายในขั้นที่รุนแรงได้   2.  การออกกำลังกายแบไอโซโทนิก (Isotonic Exercise or Dynamic Exercise)  หมายถึง  การออกกำลังกายแบบมีการหดตัวของกล้ามเนื้อ  ชนิดที่ความยาวของกล้ามเนื้อมีการเปลี่ยนแปลง  และอวัยวะมีการเคลื่อนไหว  เป็นการบริหารกล้ามเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายโดยตรงซึ่งสามารถแบ่งการทำงานของกล้ามเนื้อออกเป็น  2  ลักษณะคือ 2.1  คอนเซนตริก  (Concentric) คือ  การหดตัวของกล้ามเนื้อชนิดที่ความยาวของกล้ามเนื้อหดสั้นเข้าทำให้น้ำหนักเคลื่อนเข้าหาลำตัว  เช่น  การยกน้ำหนักเข้าหาลำตัว  ท่าวิดพื้นในขณะที่ลำตัวลงสู่พื้น (ภาพประกอบ 6.2) 2.2  เอกเซนตริก  (Eccentric) คือ  การหดตัวของกล้ามเนื้อชนิดที่มีการเกร็งกล้ามเนื้อและความยาวของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น  เช่น  ยกน้ำหนักออกห่างจากลำตัว  ท่าวิดพื้นในขณะยก  ลำตัวขึ้น (ภาพประกอบ 6.3)   3. ไอโซคิเนติก (Isokinetic  Exercise)  หมายถึง  การออกกำลังกายชนิดที่การทำงานของกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาของการเคลื่อนไหว (ภาพประกอบ 6.4) เช่น การขี่จักรยานวัดงาน  การก้าวขึ้นลงตามแบบทดสอบของฮาร์วาร์ด  (Harvard  Step  Test)  หรือการใช้เครื่องมือ  อื่น ๆ เข้าช่วยการแบ่งตามลักษณะการใช้ออกซิเจน1. การออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิก (Anaerobic Exercise)  หมายถึง  การออกกำลังกายแบบไม่ต้องใช้ออกซิเจน  หรือในขณะที่ออกกำลังกายแทบไม่ต้องหายใจเอาอากาศเข้าสู่ปอดเลย (ภาพประกอบ 6.5) เช่น  การวิ่งเร็วระยะสั้น  หรือการวิ่งในกีฬาบางอย่าง  เช่น  การวิ่งเต็มที่เพื่อเข้าไปรับลูกเทนนิสที่ข้ามตาข่ายมา  การกระโดดสูง  กระโดดไกล  ขว้างจักร  พุ่งแหลน  ทุ่มน้ำหนัก  ซึ่งผลจากการออกกำลังกายแบบแอนแอโรบิกคล้ายกับการออกกำลังกายแบบไอโซเมตริก2.  การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise)  หมายถึง  การออกกำลังกายชนิดที่ต้องใช้ออกซิเจน  หรือมีการหายใจในขณะออกกำลังกาย เป็นการบริหารให้ร่างกายเพิ่มความสามารถสูงสุดในการรับออกซิเจน ในการออกกำลังกาย  ร่างกายจะต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น  ดังนั้น  ในการขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์ของกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เกี่ยวข้องและการใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้นนี้  ระบบการลำเลียงออกซิเจนไปยังจุดหมายปลายทางก็คือระบบไหลเวียนเลือดและระบบหายใจ  จำเป็นต้องทำงานเพิ่มขึ้นด้วย  ดังนั้นการออกกำลังกายเป็นประจำจึงทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดและระบบหายใจปรับตัวในทางดีขึ้น  โดยสามารถเพิ่มการขนส่งออกซิเจนไปยังเซลล์กล้ามเนื้อและอวัยวะที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น  ซึ่งเป็นผลกลับกันกับการขาดการออกกำลังกายที่กล่าวข้างต้น  ตัวอย่างเช่น  เคยทำงานหนึ่งซึ่งเป็นงานในขณะที่ไม่เคยออกกำลังกาย  ต้องให้อัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายมากถึง  170  ครั้งต่อนาทีแต่หลังจากออกกำลังกายเป็นประจำระยะหนึ่งแล้ว  อัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายอาจลดเหลือเพียง  130  ครั้งต่อนาที  และถ้าจะให้อัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายมากถึง  170  ครั้งต่อนาที ก็จะต้องเพิ่มความหนักของงานขึ้นอีกมาก ซึ่งแสดงว่าร่างกายยังมีกำลังสำรองอยู่มาก ผลของการออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้ขณะพัก  หัวใจทำงานอย่างประหยัดหรือไม่หนักโดยบีบตัวน้อยครั้งลง  ผู้ที่เคยมีอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก  70  ครั้งต่อนาที  หลังจากการออกกำลังกายเป็นประจำที่ทำให้หัวใจเต้นเพิ่มขึ้นเพียง 1,500-2,000  ครั้งต่อวันติดต่อกันเพียง 2 – 3 เดือน  อัตราการเต้นของหัวใจขณะพักอาจลดลงเหลือ  60  ครั้งต่อนาที  ซึ่งทำให้ประหยัดการทำงานของหัวใจได้กว่า 10,000  ครั้งต่อวัน  ผลคือหัวใจมีอายุยืนยาวขึ้น ดังนั้น  จึงพอสรุปได้ว่าการออกกำลังกายแบบ  แอโรบิก  มีผลดังต่อไปนี้
      ได้ปริมาณอากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้น  เพราะอัตราการหายใจเพิ่มขึ้น  อัตราการเต้นของหัวใจและประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น  การไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น  ออกซิเจนถูกส่งไปตามอวัยวะต่าง ๆ ได้สะดวกและรวดเร็ว  ลดอาการเมื่อยล้า  ทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้นานขึ้น  ส่งเสริมบุคลิกภาพ  ทำให้ร่างกายได้สัดส่วน  กล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ แข็งแรงมากขึ้น
 |  |