ไข้ไทฟอยด์และพาราไทฟอยด์ โดย นายแพทย์สุวิทย์ อารีกุล และคนอื่นๆ บางทีเรียกกันว่า ไข้รากสาดน้อยและไข้รากสาดเทียม ไข้รากสาดน้อยและไข้รากสาดเทียมเป็นโรคที่มีลักษณะอาการคล้ายคลึงกัน มีความแตกต่างกันตรงที่ไข้รากสาดน้อยจะมีอาการรุนแรงกว่า เชื้อต้นเหตุ เชื้อที่ก่อโรคเป็นเชื้อบัคเตรี ไข้ไทฟอยด์เกิดจากเชื้อที่มีชื่อว่า ซัลโมเนลลา ไทฟี (Salmonella typhi) ไข้พาราไทฟอยด์เกิดจากเชื้อที่มีชื่อว่า ซัลโมเนลลา พาราไทฟี เอ หรือ บี หรือ ซี (Salmonella paratyphi A, B, C) ระยะฟักตัว ตั้งแต่ได้รับเชื้อเข้าไป ประมาณโดยเฉลี่ย ๑-๒ สัปดาห์ ก็จะเกิดอาการของโรค ระยะฟักตัวนี้อาจเร็วได้ถึง ๓ วัน และนานถึง ๓๘ วัน ลักษณะอาการ เป็นโรคติดเชื้อที่มีลักษณะอาการที่ผู้รับเชื้อจะมีไข้ ซึ่งมักจะค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นวันละเล็กวันละน้อย จนถึง ๔๐°ซ. ภายใน ๑ สัปดาห์ มีความรู้สึกคล้ายกับจะหนาวสั่น ไม่สบาย เมื่อยตามเนื้อตามตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ลิ้นเป็นฝ้าสกปรกท้องอืด อาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายอุจจาระเหลวจนถึงอุจจาระร่วงก็ได้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนอาการที่พบได้เสมอคือ อาการปวดหลัง ต่อมาไข้มักจะสูงลอย อาจมีอาการไอ และมีหลอดลมอักเสบร่วมด้วย ชีพจรเต้นช้า ในผู้ป่วยผิวขาวจะพบว่ามีจุดแดงๆ เกิดขึ้นบริเวณอกและท้อง แต่ไม่ค่อยได้พบในคนไทย ผู้ป่วยมักมีอาการซึม แต่บางรายอาจมีอาการเอะอะเพ้อคลั่งได้ บางรายอาจมีอาการหมดสติ ผมร่วงทั้งศีรษะ ในรายที่ไม่ได้รับการรักษา ไข้จะสูงลอยต่อไปอีก ๑-๒ สัปดาห์ ถ้าหากไม่มีภาวะแทรกซ้อนไข้จะค่อยๆ ลดลงจนเป็นปกติในปลายสัปดาห์ที่ ๔ ของโรค ถ้าหากมีภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยอาจถึงแก่กรรมได้ โรคนี้จะก่อให้เกิดเป็นแผลในลำไส้ ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่ ลำไส้ทะลุ เยื่อหุ้มสมองอักเสบและเป็นฝีในสมอง เป็นต้น การติดต่อ ในขณะที่ผู้ป่วยเป็นโรค จะตรวจพบเชื้อโรคได้ในกระแสเลือด ไขกระดูก ปัสสาวะน้ำดี และอุจจาระ ซึ่งออกมาจากแผลที่มีอยู่ในลำไส้ในระยะที่เริ่มทุเลาและฟื้นไข้ จะตรวจพบเชื้อได้มากในอุจจาระ ซึ่งจะเป็นแหล่งสำคัญในการแพร่โรคต่อไปเมื่อหายจากโรค เชื้อโรคจะค่อยๆหายไปจากอุจจาระส่วนมากภายใน ๒ สัปดาห์หลังจากที่หายจากโรค บางรายอาจจะมีเชื้อในอุจจาระต่อไปได้อีก จึงทำให้มีโอกาสแพร่โรคต่อไป โดยที่ผู้นั้นจะไม่สำแดงอาการของโรคเลย รายเช่นนี้เรียกว่า พาหะอมโรค บางคนอาจจะแพร่เชื้อต่อไปได้เป็นเวลาหลายเดือนแล้วก็หายไป หรือเป็นพาหะอมโรคอยู่ได้ชั่วคราว มีบางรายเป็นพาหะอมโรคได้ตลอดชีวิตก็มี โรคไข้รากสาดน้อยมักจะมีอาการแรงกว่าไข้รากสาดเทียม ทั้งสองโรคนี้ติดต่อโดยการรับเชื้อโรคเข้าไปทางปาก ซึ่งอาจเกิดโดยตรงจากการสัมผัสกับผู้ป่วย หรือพาหะอมโรค หรืออาจได้รับเชื้อที่ติดอยู่กับอาหารได้แก่ น้ำ นม ผัก หอย กุ้ง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังพบว่าแมลงวันและแมลงสาบก็อาจเป็นสื่อนำเชื้อโรคมาสู่คนได้ มูลจิ้งจกที่เปียกก็มีผู้พบว่ามีเชื้อไข้ไทฟอยด์อยู่ได้ ดังนั้น ถ้าหากได้รับเชื้อโดยการกินเข้าไปก็จะทำให้เป็นโรคได้ การป้องกันและควบคุมโรค ก. การป้องกันล่วงหน้า ๑. จะต้องจัดเรื่องสุขาภิบาลเกี่ยวกับน้ำบริโภคและอาหาร ให้เก็บอาหารในที่มิดชิด อย่าให้แมลงวัน แมลงสาบ หรือจิ้งจกไต่ตอม ควรบริโภคอาหารที่สะอาดและต้มสุก ๒. ตรวจควบคุมร้านอาหาร ผู้ปรุง ผู้จำหน่าย และผู้บริการ หากพบว่าผู้ใดเป็นพาหะของโรค ควรหาทางแก้ไข ๓. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวันทำลายแมลงวัน และแมลงสาบ ๔. ทำการฉีดหรือให้วัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง วัคซีนที่ใช้อาจจะเป็นชนิดฉีดหรือชนิดกิน ข. การป้องกันเมื่อเกิดการระบาด หรือ เมื่อมีผู้ป่วย อาจจะต้องแยกผู้ป่วยไว้ระยะหนึ่ง จัดการทำลายเชื้อที่อยู่บริเวณรอบๆ ที่ผู้ป่วยอาศัย โดยเฉพาะเชื้อในอุจจาระและปัสสาวะ และรักษาผู้ป่วยจนกระทั่งไม่สามารถแพร่เชื้อทางอุจจาระได้อีกต่อไป | การฉีดวัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์ | | | |