รอมฎอน ... เดือนแห่งการฝึกใจ


1,143 ผู้ชม

ถ้ามนุษย์ต้องการอากาศเพื่อการมีชีวิตรอดในโลกนี้ มนุษย์ก็ต้องการศาสนาเพื่อความรอดพ้นของชีวิตในโลกหน้าด้วยเช่นกัน ...


รอมฎอน ... เดือนแห่งการฝึกใจ

ถ้ามนุษย์ต้องการอากาศเพื่อการมีชีวิตรอดในโลกนี้ มนุษย์ก็ต้องการศาสนาเพื่อความรอดพ้นของชีวิตในโลกหน้าด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพราะชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ แต่เนื่องจากวิญญาณคือแก่นแท้ของชีวิต ดังนั้น เมื่อวิญญาณออกจากร่างของใคร คนผู้นั้นจึงถึงแก่ความตาย

แต่ความตายยังมิใช่จุดสุดท้ายของชีวิต ความตายเป็นแค่เพียงประตูเปิดให้วิญญาณเดินทางจากโลกนี้ไปยังอีกโลกหนึ่ง ไม่ต่างจากทารกที่คลอดจากโลกแห่งครรภ์ของมารดามาสู่โลกนี้ จะต่างกันก็ตรงที่ทารกในครรภ์ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ เพราะทารกยังไม่มีสติปัญญาและไม่มีการงานต้องทำ แต่เมื่อคลอดออกมาและเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีสติปัญญาแล้ว มนุษย์จึงต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ

ดังนั้น อนาคตของวิญญาณในโลกหลังความตายจะดีหรือร้ายอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน เพราะขณะที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ วิญญาณเปรียบเสมือนนิ้วมือและร่างกายของมนุษย์เปรียบเสมือนถุงมือ นิ้วมือกระดิกไปทางไหน ถุงมือจะเคลื่อนไปทางนั้น วิญญาณในฐานะผู้บงการจึงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ขณะยังมีชีวิตอยู่ มนุษย์จึงต้องรู้จักควบคุมวิญญาณให้เป็นนายที่ดี เพราะ "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ถ้าวิญญาณเป็นนายที่ดี นายที่ดีจะไม่บงการบ่าวเนื้อหนังร่างกายให้ทำความชั่ว แต่ถ้ามนุษย์ปล่อยให้วิญญาณเป็นนายชั่ว นายชั่วจะไม่บงการบ่าวเนื้อหนังร่างกายให้ทำความดี

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์จึงต้องการศาสนาเหมือนกับที่มนุษย์ต้องการอากาศ เพราะศาสนาจะสอนวิธีการควบคุมและขัดเกลาวิญญาณให้สะอาดผ่องแผ้วเพื่อเป็นนายที่ดี

ผมเริ่มเข้าใจวัตถุประสงค์และเห็นคุณค่าของการปฏิบัติศาสนกิจจากการถือศีลอดที่ผมปฏิบัติมาตั้งแต่อายุประมาณ 12 ขวบ แม้จะดูอายุน้อย แต่หลักการของอิสลามถือว่าเด็กวัยนี้ย่างก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่จะต้องปฏิบัติศาสนกิจแล้ว พ่อแม่จึงฝึกให้ผมและน้องๆถือศีลอด ถ้าไม่ทำเช่นนั้น พ่อแม่ก็มีบาปที่ไม่ฝึกอบรมลูกของตัวเอง

การถือศีลอดด้วยการอดอาหารและน้ำตลอดทั้งวันตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกดินให้บทเรียนแก่ผมมากมาย อย่างน้อยที่สุดผมก็ได้บทเรียนว่า

การอดข้าวอดน้ำตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจดเย็นมิได้เป็นการทรมานร่างกาย จึงไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ช่วง 3-4 วันแรกของการเริ่มต้นถือศีลอดอาจมีความรู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง แต่มันทำให้รู้ว่าความหิวโหยเป็นอย่างไร ความรู้สึกนี้เองที่ทำให้ผมเกิดความสงสารขึ้นมาทุกครั้งที่เห็นคนอดอยากขาดแคลนหรือหิวโหย และความรู้สึกนี้เองที่ทำให้จิตใจอยากจะช่วยเหลือคนที่อยู่ในสภาพเช่นนี้

ขณะอยู่ในโรงเรียนที่ห่างไกลจากสายตาพ่อแม่ ผมจะกินหรือดื่มอะไรก็ได้ พ่อแม่ไม่รู้ไม่เห็น แต่ผมไม่ทำเช่นนั้น เพราะพ่อแม่สอนว่าแม้ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าตัวเราเองรู้เห็น พระเจ้าก็รู้เห็นเช่นกัน ตรงนี้เองที่ให้ผมได้รับบทเรียนว่าแม้อาหารและเครื่องดื่มมีความจำเป็นต่อชีวิต แต่ผมยังงดเว้นได้ แล้วทำไมผมจะงดเว้นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต เช่นอบายมุขไม่ได้

การถือศีลอดจึงฝึกให้ผมรู้จักยับยั้งตัวเองในยามที่อยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยังไม่จำเป็น แม้มีความสามารถพร้อมที่จะมีสิ่งนั้นได้และการมีสิ่งนั้นอาจเป็นความจำเป็นสำหรับบางคนหรือเป็นค่านิยมฟุ้งเฟ้อของคนรุ่นใหม่ เช่น อุปกรณ์สื่อสารที่ทันสมัย แต่เมื่อมันไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผม ผมก็ห้ามใจของตัวเองมิให้วิ่งตามกระแสเทคโนโลยีได้

การเตรียมตัวก่อนถือศีลอดก็ฝึกให้รู้จักเอาชนะความต้องการของตัวเอง เพราะก่อนจะถือศีลอด เราต้องตื่นขึ้นในเวลาประมาณตีสี่เพื่อกินข้าวก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น การลุกขึ้นมากินข้าวในเวลาที่กำลังนอนอย่างมีความสุขนั้น หากเป็นผู้ใหญ่ยังไม่เท่าไร แต่สำหรับเด็กนั้นมันต้องเอาชนะความต้องการของตัวเองอย่างมากทีเดียว ยิ่งในช่วงฤดูหนาวด้วยแล้ว ถ้าจิตใจใครไม่มีความศรัทธาที่เข้มแข็งพอ ก็ไม่สามารถลุกมาจากที่นอนมาสู่ที่กินข้าวได้

ปีใดที่เดือนรอมฎอนตกอยู่ในฤดูร้อน การถือศีลอดจะได้รสชาติอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือความกระหายน้ำจนคอแห้งผากในช่วงบ่าย จำได้ว่าในตอนเป็นนักเรียนมัธยมฯต้น ผมเดินกลับบ้านเหมือนลิงป่วยอย่างไรอย่างนั้น เมื่อโตขึ้น ผมจึงเข้าใจซึ้งถึงคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัดที่แนะนำให้ชายหนุ่มที่มีความสามารถรีบแต่งงานเพื่อปกป้องตัวเองให้พ้นจากการผิดประเวณี หากยังไม่มีความสามารถ แต่เกิดความรู้สึกอยากแต่งงาน ก็จงถือศีลอด เพราะการถือศีลอดจะช่วยลดกำหนัดลงได้

เมื่อใกล้เวลาดวงอาทิตย์ตกดิน ผมและน้องๆจะพร้อมกันอยู่ที่โต๊ะอาหารเพื่อรอเวลาละศีลอด แม่เตรียมแตงโมเนื้อทรายใส่น้ำหวานแช่น้ำแข็งฝอยไว้ในชามใหญ่และขนมอีกสารพัดสำหรับละศีลอด ถึงจะคอแห้งผากอย่างไร เราก็ได้แต่นั่งมอง เพราะยังไม่ถึงเวลากิน แต่พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราก็เริ่มละศีลอดด้วยการกินและดื่มอย่างมีความสุข

การละศีลอดจึงทำให้เรารู้ว่าความสุขเป็นอย่างไร ในตอนอิ่ม เรากินและดื่มอะไรไม่อร่อยและไม่มีความสุขเหมือนกับตอนที่เราหิวและกระหาย แต่ความสุขตรงนั้นเป็นเพียงความสุขที่เกิดจากการตอบสนองความต้องการของร่างกาย แต่ความสุขที่มากไปกว่านั้นก็คือความสุขที่เกิดจากการเอาชนะความต้องการของตัวตนมาได้ตลอดทั้งวันต่างหาก

อัพเดทล่าสุด