มะเร็งปากมดลูกอันตรายใกล้ตัวสำหรับสาวๆ


สุขภาพของผู้หญิงเรา มีความเสี่ยงในเรื่องของโรคมะเร็งชนิดหนึ่ง ที่ทางฝ่ายชายไม่สามารถเป็นได้เลยนก็คือมะเร็งปากมดลูก ซึ่งสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งชนิดนี้ คือการได้รับเชื้อไวรัส HPV โดยปกติแล้ว ผู้ที่ได้รับเชื้อ HPV ก็จะหายได้เอง

คือ ร่างกายสามารถจัดการ กำจัดได้เอง แต่มีเพียงราว 10% เท่านั้นที่เชื้อไวรัสนี้สามารถเข้าไปสร้างความผิดปกติให้เยื่อบุปากมดลูก สุดท้ายทำให้เกิดการผิดปกติของการแบ่งเซลล์ และกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด ซึ่งกว่าที่จะเกิดการพัฒนากลายเป็นเซลล์มะเร็งได้นี้ จะใช้เวลาราวๆ 10-15 ปี

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก


1 การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย
2 การมีคู่นอนหลายคน
3 การตั้งครรภ์ หรือมีลูกหลายคน
4 มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสหูด (HPV)
5 การรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานานๆ
6 การสูบบุหรี่
7 สตรีที่เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ที่อาจจะไม่รักษาความสะอาดมากนัก
8 ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
9 พันธุกรรม มีส่วนอยู่บ้าง
10 การขาดสารอาหารบางชนิด
วิธีป้องกัน ถึงแม้ว่ามะเร็งปากมดลูกจะฟังดูน่ากลัว แต่ก็ยังสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงลงได้มาก เราลองมาดูวิธีการป้องกันมะเร็งปากมดลูกกันดีกว่าค่ะ
1 ฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก โดยที่วิธีนี้จะสามารถลดโอกาสการเกิดมะเร็งลงไปได้อีกประมาณ 70% การฉีดวัคซีนนี้ ถ้าให้ได้ผลดีควรจะฉีดเมื่อมีอายุระหว่าง 9-26 ปีค่ะ
2 หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
3 กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น
4 งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องอับอากาศที่มีคนในห้องสูบบุหรี่เป็นประจำ  เมื่อได้รับควันบุหรี่ สารที่เรียกว่า “ทาร์” หรือน้ำมันดินจะถูกขับออกมาบริเวณปากมดลูกทำให้เกิดการระคายเคืองของปากมดลูก นานเข้าเซลส์เยื่อบุปากมดลูกอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลส์มะเร็งได้
5 ทำการตรวจคัดกรองเพื่อหาเซลล์มะเร็งปากมดลูก (PAP Smear) เป็นประจำทุกๆ ปี

อาการแบบไหนถึงควรรีบไปตรวจ 


มะเร็งปากมดลูกมักพบในสตรีอายุ 45 - 55 ปี แต่ตอนนี้มักตรวจพบมะเร็งปากมดลูกก่อนวัยอันควร และปัจจุบันก็พบในอายุน้อยลง เซลล์ปากมดลูกผิดปกติมักพบในวัยเจริญพันธุ์ หากมีอาการเตือนต่างๆ ดังด้านล่างนี้ ก็ควรเข้ารับการตรวจโดยเร็วนะคะ เพราะอาจจะไม่ได้เป็นก็ได้ เพียงแต่ถ้าไปพบการติดเชื้ออย่างอื่นก็จะได้รับการรักษาให้ถูกต้องได้เลย
1. ตกขาวสีเหลือง มีกลิ่น ปนเลือด
2. เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด (อาจพบหลังมีเพศสัมพันธ์)
3. ปวดท้องน้อย (พบในกรณีมะเร็งลุกลามเนื้อเยื้อในช่องเชิงกราน)
4. ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นเลือด (พบในกรณีมีการลุกลามไปกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย)
5. เบื่ออาหาร ,น้ำหนักลด
6. ขาบวม (มะเร็งลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง)

การรักษา


- ระยะต้นการรักษาสามารถทำได้ง่ายโดยการจี้ด้วยความเย็น, ตัดปากมดลูกเป็นรูปกรวย ซึ่งปัจจุบัน สามารถรักษาได้ แบบผู้ป่วยนอก ไม่ต้องดมยาสลบหรือนอนพักในโรงพยาบาล ถ้าพบในระยะ ท้าย ๆ ต้องรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา
- มะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันได้ และหากตรวจพบได้เร็ว ก็มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นการตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี เป็นสิ่งที่จำเป็นกับผู้หญิงนะคะ
 

ข้อมูลจาก Thaiza

อัพเดทล่าสุด