อ่านด่วน! สาวๆที่มีน้ำหนักมาก ประจำเดือนมาไม่ปกติ ระวังภัยเงียบนี้!!


12,505 ผู้ชม



สาวๆอ่านเลย ใครน้ำหนักมาก ประจำเดือนมาไม่ปกติ ระวังภัยเงียบนี้!!
PCOS มีอันตรายอย่างไร 

จากการติดตามคนที่เป็นโรค PCOS พบว่า มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่อไปนี้
1. ปัญหามีบุตรยาก จากรังไข่ทำงานผิดปกติ
2. ปัญหาการตกเลือด โลหิตจาง เพราะประจำเดือนมามากและนานเกินไป
3. เป็นมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม เพราะเยื่อบุมดลูกและเต้านมถูกกระตุ้นด้วยเอสโตรเจนจำนวนมากนานๆ
4. เป็นเบาหวาน (เพราะอินซูลินทำงานได้ไม่ดี) และโรคแทรกซ้อนของเบาหวาน เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคทางสมอง ไต และหัวใจ เป็นต้น 
ระวังภัยเงียบของสตรีที่มีน้ำหนักมากและประจำเดือนมาไม่ปกติ 

PCOS คืออะไร 

PCOS ย่อมาจาก Polycystic Ovarian Syndrome (บางทีก็เรียก PCOD ย่อมาจาก Polycystic Ovarian Disease) เป็นกลุ่มอาการหรือโรคที่พบบ่อยในสตรีอย่างหนึ่ง


 

อาการประกอบไปด้วย 

ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขาดประจำเดือนนานๆ เป็นอย่างแรก (เกิดจากไม่มีการตกไข่หรือตกไข่ผิดปกติ ไม่สม่ำเสมอ) น้ำหนักมาก (อ้วน) เป็นอย่างที่สอง มีขนดกกว่าปกติที่ใบหน้า ร่องอก และท้องน้อย เป็นอย่างที่สาม 

ที่บอกว่าพบมากเพราะพบได้ใน 5-10% ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ ที่บอกว่าเป็นภัยเงียบก็เพราะมันอาจจะทำให้เกิดโรคเรื้อรังและร้ายแรงบางอย่าง( ซึ่งาจะกล่าวต่อไป ) 
โรคนี้พบกันมาตั้งแต่ปี 1930 โดยสูตินรีแพทย์ชาวเยอรมัน 2 ท่าน นามสกุล Stein และ Leventhal อธิบายผู้ป่วยสตรีที่มีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อ้วน และมีขนดก พร้อมกับตรวจพบลักษณะของรังไข่มีความผิดปกติจำเพาะตัว และไข่ไม่ตกเรื้อรัง 

สตรีที่จะมาปรึกษาแพทย์ด้วยปัญหา 2 ประการ เป็นส่วนใหญ่ คือ 

1. หลังจากผ่านวัยรุ่นมานานแล้ว ประจำเดือนไม่มา หรือหลาย ๆ เดือนมาครั้งหนึ่ง หรือประจำเดือนมาไม่แน่นอน หรือมาคราวละนาน ๆ และมามากจนซีดโลหิตจาง 
2. แต่งงานนานแล้วไม่ตั้งครรภ์ อาจมี หรือ ไม่มีอาการในข้อ 1 ร่วมด้วย 

PCOS เกิดขึ้นได้อย่างไร? 

ตามธรรมดาสตรีวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 18-40 ปี) ควรจะมีการตกไข่ของรังไข่สม่ำเสมอทุกเดือน (ทุก 28+ 7 วัน) ช่วงก่อนตกไข่เป็นครึ่งแรกของรอบประจำเดือน รังไข่จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนมากระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูก (หลังจากหลุดลอกไปจากการมีประจำเดือน) ให้เจริญงอกงามหนาตัวขึ้น 

พอช่วงหลังการตกไข่ ในครึ่งหลังของรอบประจำเดือน รังไข่จะสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขึ้นมาด้วย ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญมาก่อนหน้านี้มีความสมบูรณ์พร้อมรับการฝังตัวและเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์ ถ้ามีการตั้งครรภ์ รังไข่จะทำงานต่ออีกจนถึง 7-10 สัปดาห์ จากนั้นก็หยุดทำงาน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรกทำงานต่อไป 

ถ้ามีไข่ตกแต่ไม่มีการตั้งครรภ์ รังไข่จะทำงานต่อหลังไข่ตกประมาณ 10-12 วัน ก็หยุดสร้างฮอร์โมน หลังจากนั้น 2-3 วันเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาพร้อมเลือดเป็นประจำเดือน 

ถ้าไม่มีการตกไข่ รังไข่จะไม่มีการสร้างโปรเจสเตอโรน มีแต่เอสโตรเจน เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าถุงไข่ฝ่อตัวเมื่อไรก็ทำให้เอสโตรเจนหมด เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาเหมือนกัน แต่ถ้าถุงไข่ค่อย ๆ โตช้า ๆ ไม่เรื่อย ๆ หรือ โตอยู่กับที่นาน ๆ ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็ออกมาน้อย ๆ ช้า ๆ เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หลุดลอกออกมา ก็จะไม่มีประจำเดือน

ถ้าระหว่างนั้นมีการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนขึ้น ๆ ลง ๆ ก็จะมีการหลุดลอกเยื่อบุโพรงมดลูกเป็นช่วง ๆ ทำให้มีลักษณะเลือดออกกะปริดกะปรอยไม่แน่นอน หรือถ้าเยื่อบุโพรงมดลูกถูกกระตุ้นจนหนามากเกิน มันก็จะหลุดลอกออกมาเองเหมือนน้ำล้นถ้วย ลักษณะเลือดประจำเดือนก็จะออกมาแบบมากและนาน จะเห็นว่าถ้ามีการตกไข่สม่ำเสมอ ประจำเดือนจะมาสม่ำเสมอ แต่ถ้าไม่ตกไข่ ประจำเดือนอาจจะมาเป็นแบบใดก็ได้ 

เรากลับมาดูโรคหรือกลุ่มอาการ PCOS เราตรวจพบว่าที่รังไข่แทนที่จะมีถุงไข่เพียง 1 ถุงโตขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ไข่ตกในแต่ละเดือนสลับข้างกันในรังไข่แต่ละข้าง กลับพบว่าในรังไข่แต่ละข้าง มีถุงไข่เล็ก ๆ เต็มไปหมด ไม่มีถุงไข่ถุงไหนจะเจริญจนถึงการตกไข่ เมื่อทำ ultrasound ก็จะพบเป็นถุงเล็กๆ ใต้ผิวรังไข่ รังไข่เองก็จะโตกว่าปกติเล็กน้อย จึงเป็นที่มาของคำว่า Polycystic (Poly = มาก, Cyst = ถุง) 

เราพบอีกว่าสตรีที่เป็นโรคนี้ รังไข่และต่อมหมวกไต จะสร้างฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติในร่างกาย จึงทำให้มีขนบริเวณใบหน้า ร่องอก และท้องส่วนล่างออกมาหนากว่าปกติ และ เราพบว่าร่างกายของสตรีผู้นี้มีระดับเอนไซม์อินซูลินในกระแสเลือดมากกว่าปกติ 

ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเซลล์ของร่างกายตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินในการใช้น้ำตาลในเซลล์น้อย ทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินมากขึ้นมาชดเชย เมื่อน้ำตาลในเซลล์ถูกใช้น้อย ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นไขมัน ดังนั้นความอ้วนก็เกิดขึ้นและความอ้วนนี้จะลดยากมาก เพราะตัวช่วยที่ไม่ให้มีการสร้างไขมันจากน้ำตาล (คือ อินซูลิน) ทำงานได้ไม่ดี 

โดยสรุปลักษณะทั่วไปของกลุ่มอาการ PCOS หรือ PCOD ก็คือ ประจำเดือนผิดปกติ อ้วน และมีขนดก แต่ทุกคนที่เป็นโรคนี้ อาจมีอาการไม่ครบทั้ง 3 อย่างก็ได้ แต่ตัวยืนคือ รังไข่ทำงานผิดปกติ 

แพทย์จะวินิจฉัย PCOS ได้อย่างไร? 

เนื่องจากอาการทั้ง 3 อย่างนี้ แต่ละอย่างเกิดจากโรคอื่นๆ ได้ เช่น ความผิดปกติที่ประสาทและสมอง ความผิดปกติที่ต่อมหมวกไต ต่อมไธรอยด์ หรือที่ตับอ่อน เนื้องอกที่รังไข่ เป็นต้น 
การวินิจฉัยจึงต้องดูเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่ประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจภายใน ทำ ultrasound และการตรวจฮอร์โมนเพศ จึงจะให้การวินิจฉัยที่แน่นอน (บางทีแพทย์อาจไม่ตรวจหมดทุกอย่างก็เป็นได้) 

แนวทางรักษา PCOS 

เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ ดังนั้นแนวทางการรักษาจึงเป็นการทำเพื่อแก้ปัญหาของผู้ป่วย วิทยาการตอนนี้เราทราบว่ากลุ่มอาการนี้มีความผิดปกติ 3 อย่างคือ รังไข่ทำงานผิดปกติ มีขนขึ้น และระดับอินซูลินสูงเนื่องจากเซลล์ตอบสนองไม่ดี เพื่อป้องกันผลร้ายจากสิ่งดังกล่าว จึงแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 พวก คร่าว ๆ คือ 

รายที่ไม่ต้องการมีบุตร 

ไม่ว่าปัจจุบันหรือตลอดไป หลักการรักษาคือ ทำให้มีประจำเดือนเพื่อป้องกันเยื่อบุโพรงมดลูกหนาเกินไป เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อเลือดออกมากและความเสี่ยงต่อมะเร็งในอนาคต ด้วยการให้ฮอร์โมนเลียนแบบการมีไข่ตก ที่สะดวกที่สุดคือการได้รับยาคุมกำเนิด ซึ่งจะช่วยให้มีประจำเดือนปกติ และคุมกำเนิดไปในคราวเดียวกัน (คนเป็นโรคนี้อาจมีไข่ตกบ้างบางเวลา) 

ถ้าไม่ต้องการรับประทานยาคุมกำเนิดก็ให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนรับประทานเป็นรอบ ๆ ไป ถ้ามีขนดกด้วย ก็ให้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนลดการสร้างแอนโดรเจน ถ้ามีปัญหาเรื่องอ้วนก็ให้ยาที่กระตุ้นการตอบสนองต่ออินซูลิน เพื่อให้การใช้น้ำตาลในเซลล์ดีขึ้น 

ในทางกลับกันถ้าต้องการมีบุตร ก็ต้องกระตุ้นให้มีการตกไข่ หรือการใช้ยากระตุ้นการตอบสนองต่ออินซูลินของร่างกายหรือทั้ง 2 อย่างแล้วแต่กรณี ถ้ายังไม่ได้ผล (หรือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง) คือ ใช้การผ่าตัดส่องกล้องผ่านช่องท้องโดยใช้ไฟฟ้าไปทำลายเนื้อเยื่อของรังไข่ส่วนที่สร้างแอนโดรเจนมากเกินไป ซึ่งช่วยทำให้การตกไข่เองได้ และตั้งครรภ์ 50-60 % 

สรุป PCOS เป็นกลุ่มโรคที่เรายังไม่ทราบสาเหตุแน่นอน แต่พอจะรักษาเยียวยาได้ตามแต่ปัญหาและความต้องการของผู้ป่วย หวังว่าการแพทย์คงทราบสาเหตุและการรักษาที่ได้ผลดีขึ้นเรื่อย ๆตามวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้นตลอดเวลา ข่าววันนี้

อ้างอิง...พล.ต.รศ.นพ.ธีรศักดิ์ ธำรงธีระกุล และทีมแพทย์ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช / khaoza.net

https://news.thaiza.com

อัพเดทล่าสุด