โรคปัสสาวะรดที่นอน: อาการ สาเหตุ และการรักษา


1,815 ผู้ชม


โรคปัสสาวะรดที่นอน: อาการ สาเหตุ และการรักษา

ปัสสาวะรดที่นอน (Bedwetting หรือ Enuresis หรือ Nocturnal enuresis) เป็นภาวะ หรือ อาการ ผิดปกติที่เกิดจากการควบคุมการปัสสาวะไม่ได้ ส่งผลให้เกิดการปัสสาวะรดที่นอนในช่วงนอนหลับตอนกลางคืน (Nocturnal enuresis) หรืออาจปัสสาวะรดเสื้อผ้าในช่วงกลางวัน (Diurnal enuresis) หรือเกิดขึ้นทั้งช่วงกลางวันและช่วงกลางคืน (Mixed enure sis) ทั้งนี้ปัสสาวะรดที่นอนจะถือเป็นภาวะปกติ เมื่อเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 4 ปี เพราะเป็นช่วงอวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมทั้งระบบสมองและระบบประสาทซึ่งควบคุมการปัสสาวะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ เด็กวัยก่อน 5 ปีจึงไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้

 
นิยาม: นิยามของปัสสาวะรดที่นอน คือ เด็กตั้งแต่อายุ 5 ปีขึ้นไปและยังคงปัสสาวะรดที่นอนอยู่ โดยถ้าอายุช่วง 5-6 ปี การปัสสาวะรดที่นอนหมายถึงปัสสาวะรดที่นอนตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปต่อเดือน และเมื่ออายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป การปัสสาวะรดที่นอนหมายถึงการปัสสาวะรดที่นอนตั้งแต่ 1 ครั้งขึ้นไปต่อเดือน ส่วนคำจำกัดความของปัสสาวะรดเสื้อผ้า ยังไม่มีการกำหนดจำนวนครั้ง เพราะพบได้น้อยกว่าการปัสสาวะรดที่นอนมาก จึงหมายความกว้างๆว่า เด็กปัสสาวะรดเสื้อผ้าบ่อยจนผู้ปกครอง หรือคุณครูคิดว่าเป็นปัญหา

 
ทั้งนี้ เมื่อเด็กปัสสาวะรดที่นอนตั้งแต่เกิด และยังคงปัสสาวะรดที่นอนต่อเนื่องจนถึงอายุ 5 ปีขึ้นไป ไม่เคยมีช่วงที่ปัสสาวะปกติเลย เรียกว่า ปัสสาวะรดที่นอนปฐมภูมิ (Primary enuresis) ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยประมาณ 75-85% ของภาวะนี้ทั้งหมด แต่ถ้าเมื่อช่วงเด็กเล็กปัสสาวะรดที่นอน แต่อาการหายไปจนสามารถควบคุมการปัสสาวะได้เป็นปกติติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนแล้วกลับมามี อาการซ้ำใหม่อีก เรียกว่า ปัสสาวะรดที่นอนทุติยภูมิ (Secondary enuresis) ซึ่งพบได้ประมาณ 15-25%


ปัสสาวะรดที่นอนเป็นภาวะพบได้บ่อย การศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าภาวะนี้พบในเด็กชายบ่อยกว่าในเด็กหญิงประมาณ 2 เท่า และพบภาวะนี้ได้ถึงประมาณ 15-25%ในเด็กอายุ 5-6 ปี แต่ทุกๆ 1 ปีที่เด็กโตขึ้นอัตราการเกิดภาวะนี้จะลดลงประมาณ 15% เมื่อเด็กอายุได้ 7 ปี พบภาวะนี้ในเด็กชายประมาณ 9% ในเด็กหญิงประมาณ 6% เมื่ออายุได้ 10-12 ปี พบภาวะนี้ได้ 7-8%ในเด็กชาย และ 3-4%ในเด็กหญิง และเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่นยังคงพบภาวะนี้ได้ ประมาณ 1-3%ทั้งในเด็กชายและในเด็กหญิง

การรักษา:

กดจุดที่หูและร่างกายทำสลับวัน นวดนานครั้งละ 5-10 นาที นวดในเวลาก่อนนอน ถ้าแพทย์ให้การรักษาเด็กของคุณด้วยยานอนหลับ (Sedative) หรือยาแก้ซึมเศร้า (antidepressant) คุณสามารถกดจุดร่วมกับการรักษาของแพทย์ได้ และในที่สุดเด็กของคุณก็สามารถลดขนาดของยาได้จนไม่ต้องใช้ยาอีกต่อไป แต่การลดขนาดของยาต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาเองเท่านั้น เพียงแต่คุณอาจจะปรึกษากับแพทย์ที่รักษาเด็กดูได้
การกดจุดควรจะสอนให้เด็กทำด้วยตัวเองได้ แต่ต้องคอยควบคุมดูแลให้เด็กทำได้อย่างถูกต้องก่อนในระยะแรกๆ เมื่อทำได้แล้วจึงปล่อยให้เขาทำเองต่อไป
ตำแหน่งที่กดจุด
จุดที่อยู่บนร่างกาย

                                      
1. จุด “ไป่หุ้ย
” (pai-hui)
วิธีหาจุด :   จุดอยู่บนศีรษะกึ่งกลางใบหูทั้งสองข้าง
วิธีนวด    :   นวดไปข้างหน้า (ดังรูป)

                                    

2. จุด “ซานยินเจียว” (San-yin-chiao)
วิธีหาจุด   :   อยู่เหนือข้อเท้า (ตาตุ่ม) ด้านในประมาณ 4-5 นิ้วมือเด็ก อยู่ใกล้กับหน้าแข้ง
วิธีนวด     :   นวดขึ้นบน (ดังรูป)

3. จุด “จู๋ซานหลี่” (tsu-san-li)
วิธีหาจุด  :   วางฝ่ามือของผู้ถูกกดจุดลงบนหัวเข่า กางนิ้วออกเล็กน้อย จุดจะอยู่ปลายสุดของนิ้วนาง
วิธีนวด    :   นวดลงล่าง

                                     

  4. จุด “จื้อยิน” (chih-yin) จุดนี้กระตุ้นการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ
วิธีหาจุด  :   จุดอยู่ด้านนอกข้อสุดท้ายของนิ้วเท้าอันสุดท้าย
วิธีนวด     :   นวดลงใต้นิ้วเท้า ในทิศทางเข้าหานิ้วหัวแม่เท้า(ดังรูป)

                                               

5. จุด “จงจี๋” (Chung-chi)
วิธีหาจุด   :   อยู่ระหว่างสะดือกับท้องน้อย (กระเพาะปัสสาวะ)
วิธีนวด      :   นวดขึ้นบน (ดังรูป)

กดจุดที่ใบหู
หูขวา
1. จุดสำหรับกระเพาะปัสสาวะ
วิธีหาจุด   :   อยู่ที่ช่องเล็กเหนือแอ่งหู
วิธีนวด      :   นวดไปด้านหน้า
2. จุดสำหรับลดความตึงเครียดด้านจิตใจ
วิธีหาจุด  :   อยู่ที่ขอบนอกของใบหูส่วนที่ติดกับหน้า
วิธีนวด     :   นวดขึ้นบน (ดังรูป)

                                            

หูซ้าย
นวดเช่นเดียวกับหูขวา แต่ทิศทางนวดตรงข้าม (ดังรูป)

แหล่งที่มา: www.shareherb.com

อัพเดทล่าสุด