โรคหัดเยอรมัน (German measles)


902 ผู้ชม


ระบบและอวัยวะที่เกี่ยวข้อง :

ทั้งตัว  ระบบโรคติดเชื้อ 

อาการที่เกี่ยวข้อง :

ไข้  ผื่น 

บทนำ

โรคหัดเยอรมัน (German measles/เจอร์มันมีเซิล หรือ rubella/รูเบลลา) เป็นโรคไข้ออกผื่น ที่พบทั้งในเด็กและในผู้ใหญ่ เนื่องจากแพทย์ชาวเยอรมันเป็นผู้ที่ให้คำอธิบายว่า โรคนี้เป็นโรคใหม่ที่ต่างจากหัด จึงเรียกโรคนี้ว่าหัดเยอรมัน (รูเบลลา เป็นภาษาละติน แปลว่า จุดแดงเล็กๆ) ส่วนในบ้านเรามีชื่อเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “เหือด” เป็นโรคติดเชื้อที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ถ้ามีอาการจะมีไข้และออกผื่นคล้ายหัด แต่มีความรุนแรงน้อยกว่าหัดและมักจะหายได้เองโดยไม่มีโรคแทรกซ้อน แต่มีความสำคัญคือ ถ้าเกิดการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ เชื้ออาจแพร่กระจายเข้าทารกในครรภ์ ทำให้เกิดการพิการได้

สาเหตุของหัดเยอรมัน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ รูบิไวรัส (Rubivirus) หรือ บางคนเรียกว่า รูเบลลาไวรัส (Rubella virus) ซึ่งอยู่ในตระกูล โทกาวิริดี (Togaviridae) โรคนี้เป็นแล้วมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต และมีวัคซีนป้องกันได้

โรคหัดเยอรมันเกิดได้อย่างไร?

โรคหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมันติดต่อกันง่าย แต่น้อยกว่าโรคหัด โดยเชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วย ติดต่อได้โดยการ ไอ จามหายใจรดกัน เหมือนกับใน โรคหวัด หรือในโรคหัด การสัมผัสผื่นที่ผิวหนังไม่ได้ทำให้ติดโรค มักจะพบการระบาดในโรงเรียน โรงงาน ที่ทำงาน ช่วงที่มักจะเกิดโรคคือ เดือนมกราคมถึงเมษายน ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง จะไม่เพิ่มความเสี่ยงที่จะติดเชื้อหัดเยอรมันง่ายกว่าคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติ ซึ่งแตกต่างจากโรคหัดที่ผู้ที่ภา วะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่องจะมีโอกาสติดโรคหัดง่ายกว่าคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ

เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อหัดเยอรมันเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจแล้ว เชื้อจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดเป็นครั้งแรกแล้วไปสู่ระบบน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลือง (ทำให้มีต่อมน้ำเหลืองโตตับ และม้าม ก่อนจะเพิ่มจำนวนเชื้อแล้วกระจายเข้าสู่กระแสเลือดเป็นครั้งที่สอง ทำให้เกิดอาการที่ระ บบต่างๆได้แตกต่างกันไป และสามารถตรวจพบเชื้อในระบบต่างๆได้ เช่น ใน เลือด ปัสสาวะ และน้ำไขสันหลัง

โรคหัดเยอรมันมีอาการอย่างไร?

อาการของโรคหัดเยอรมัน แบ่งออกได้เป็น

  1. การติดเชื้อในเด็กตั้งแต่หลังคลอดเป็นต้นไปและในผู้ใหญ่ ประมาณ 50% ของผู้ที่ติดเชื้อหัดเยอรมันจะไม่มีอาการส่วนผู้ที่มีอาการก็จะแบ่งเป็นระยะเช่นเดียวกับหัด คือระยะก่อนออกผื่นและระยะออกผื่น มีระยะฟักตัวนับตั้งแต่ติดเชื้อจนเกิดอาการประมาณ 12-23 วัน

    อนึ่ง ผู้ป่วยหัดเยอรมันจะมีเชื้อไวรัสในลำคอและแพร่เชื้อได้ในระยะ 3-8 วัน หลังจากได้รับเชื้อไปถึงระยะหลังผื่นขึ้นแล้ว 6-14 วัน

  2. การติดเชื้อของทารกในครรภ์จากมารดา มารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมัน เมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว สามารถแพร่เข้าสู่ทารกโดยผ่านทางรก และทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ เกิดความพิการตามมา ซึ่งส่วนใหญ่จะมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง 3 อย่าง ดังนี้คือ
    • หูหนวก พบได้ประมาณ 58% อาจเกิดกับหูข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง บางครั้งอาการอาจปรา กฏช้า โดยอาจเริ่มแสดงอาการตอนอายุ 2 ขวบ หรือนานกว่านี้ก็ได้
    • เป็นต้อกระจก พบได้ประมาณ 43% มักเป็นทั้งสองตา (80%) หรืออาจพบจอตามีเม็ดสีผิด ปกติ จึงเกิดความผิดปกติในการเห็นภาพได้
    • มีความพิการของหัวใจ พบได้ประมาณ 50% ความผิดปกติที่พบบ่อยของหัวใจ คือ มีการเชื่อมต่อของเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจกับเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ไปปอด (ปกติเส้นเลือดทั้งสองต้องแยกจากกัน) ความผิดปกติอื่นๆได้แก่ มีการตีบของเส้นเลือดแดงใหญ่ของปอด และ/หรือ การรั่วของผนังกั้นห้องหัวใจห้องบน หรือห้องล่าง

    ส่วนความผิดปกติอื่นๆที่อาจพบได้ ได้แก่ ทารกในครรภ์โตช้า อาจแท้งหรือคลอดก่อนกำ หนด น้ำหนักแรกเกิดน้อย มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (เลือดออกง่ายโลหิตจาง มี ตับ ม้ามโต มีภา วะตัวเหลืองตาเหลือง ปอดบวม เป็นต้อหินแต่กำเนิด มีหินปูนในสมอง ปัญญาอ่อน มีพฤติกรรมผิดปกติ ผิวหนังเป็นลายออกสีน้ำเงิน เป็นเบาหวานเมื่อเป็นผู้ใหญ่ (อายุ 20-30 ปี)

    โอกาสที่ทารกในครรภ์จะติดเชื้อหัด ขึ้นกับว่ากำลังตั้งครรภ์ในช่วงไหน มารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงครรภ์ 3 เดือนแรก โอกาสที่ทารกในครรภ์จะติดเชื้อมีประมาณ 50% ในขณะที่มารดาที่ติดเชื้อในช่วงครรภ์ 3-6 เดือนทารกในครรภ์มีโอกาสติดเชื้อประมาณ 30% นอกจากนี้การติดเชื้อในช่วง 3 เดือนแรก จะมีความพิการเกิดขึ้นหลายอวัยวะมากกว่า และรุนแรงมากกว่า ส่วนมารดาที่ติดเชื้อในช่วงการตั้งครรภ์หลังๆ ทารกจะมีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่า และทารกที่ติดเชื้อจะมีความพิการเกิดขึ้นน้อยกว่า ส่วนมากมักมีปัญหาเพียงแค่หูหนวกเท่านั้น

แพทย์วินิจฉัยโรคหัดเยอรมันได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคหัดเยอรมันได้จาก

  1. การวินิจฉัยในผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่อาศัยจากอาการของผู้ป่วย และการตรวจร่างกาย เป็นหลัก

    การตรวจเลือดซีบีซี จะพบภาวะเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ ส่วนการตรวจที่จำเพาะต่อโรคหัดเยอรมัน คือ การตรวจหาสารภูมิต้านทานชนิดเอ็ม ต่อเชื้อหัดเยอรมัน(IgM antibody) หรือตรวจหาสารภูมิต้านทาน ชนิด จี ต่อเชื้อหัดเยอรมัน (IgG antibody) โดยการตรวจ 2 ครั้ง ครั้งแรกตรวจในช่วงที่กำลังมีอาการ ครั้งที่ 2 ตรวจห่างจากครั้งแรก 2-3 สัปดาห์ ซึ่งจะพบว่าค่าต่างกันมากกว่า 4 เท่าขึ้นไป

  2. การวินิจฉัยทารกที่ผิดปกติ และคลอดจากมารดาที่สงสัยว่าติดเชื้อหัดเยอรมัน วิธีที่ถือเป็นมาตรฐาน คือ การแยกเชื้อไวรัสจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ โดยเก็บสิ่งส่งตรวจจากหลังโพรงจมูก จากปัสสาวะ หรือจากน้ำไขสันหลัง ของทารกวิธีอื่นๆได้แก่การตรวจหาสารก่อภูมิต้านทานต่อเชื้อหัดเยอรมัน (Antigens) จากน้ำไขสันหลัง และ/หรือเลือด หรือตรวจหาสารภูมิต้านทานชนิด เอ็ม จากเลือด

รักษาโรคหัดเยอรมันได้อย่างไร?

แนวทางรักษาโรคหัดเยอรมัน คือ

ไม่มีการรักษาที่จำเพาะต่อเชื้อหัดเยอรมัน การรักษาหลักคือ การรักษาแบบประคับประคอง เช่น การให้ยาลดไข้ การให้ยาลดอักเสบ แก้ปวดข้อ และ การให้ยาแก้คัน

สำหรับทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมัน หรือสงสัยว่าติดเชื้อหัดเยอรมัน แพทย์จะตรวจหาความผิดปกติที่เป็นไปได้ต่างๆดังกล่าวข้างต้น ตั้งแต่หลังคลอดและนัดตรวจเด็กเป็นระยะๆ เพราะอาการบางอย่างอาจปรากฏเมื่อเด็กอายุมากขึ้น และใช้การตรวจทางห้อง ปฏิบัติการเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ส่วนการรักษาก็จะรักษาตามความผิดปกติที่ปรากฏ เช่น ถ้าพบหัวใจพิการก็รักษาโดยการผ่าตัด เป็นต้อหินหรือต้อกระจกก็ผ่าตัดเช่นกัน และเมื่อพบภาวะตัวเหลืองก็ให้อาบแสงยูวี(แสงแดดที่นำมาใช้ทางการแพทย์) แต่ความผิดปกติบางอย่างอาจรัก ษาไม่ได้ เช่น การมีหินปูนในสมอง

โรคหัดเยอรมัน มีผลข้างเคียง และมีความรุนแรงของโรคอย่างไร?

โดยทั่วไป ผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากโรคหัดเยอรมันพบน้อยมาก และแทบไม่เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนขึ้นมา อย่างไรก็ตาม อาการแทรกซ้อนที่อาจพบได้ คือ

 

ดูแลตนเอง และป้องกันโรคหัดเยอรมันได้อย่างไร?

การดูแลตนเอง และการป้องกันโรคหัดเยอรมันที่สำคัญ คือ

  1. โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน (ปัจจุบันรัฐบาลให้บริการอยู่แล้วในทารกคลอดในโรงพยาบาล) โดยฉีดครั้งแรกตอนอายุ 9-15 เดือน ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี โดยให้ในรูปของวัคซีนรวม เอ็ม เอ็ม อาร์ ซึ่งป้องกันโรคหัดคางทูม และ หัดเยอรมัน (MMR, M=measles /มีเซิลส์/หัด, M=mumps/มัมส์/คางทูม และ R= rubella/รูเบลลา/หัดเยอรมัน)
  2. ผู้หญิงที่จะแต่งงาน หรือตั้งใจจะมีลูก ถ้ายังไม่เคยฉีดวัคซีน ต้องฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 28 วัน เพื่อป้องกันโอกาสที่วัคซีนจะทำให้ทารกติดเชื้อได้ เพราะวัคซีนทำมาจากเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน (วัคซีนเชื้อเป็น ที่ทำให้อ่อนกำลังลงจนลดโอกาสติดเชื้อในคน แต่กระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรคได้) แม้ว่าในทางทฤษฎีโอกาสนี้เกิดได้น้อยมาก โดยให้ในรูปของวัคซีนรวมดังกล่าวเช่นกัน
  3. ถ้ากำลังมีการระบาดของโรค สำหรับหญิงที่แต่งงานแล้วและไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ควรคุมกำเนิดไว้ก่อนจนพ้นการระบาดของโรค
  4. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัดเยอรมันควรหยุดเรียน หยุดทำงาน พักผ่อนอยู่กับบ้านเป็นเวลาประมาณ 7 วันหลังจากมีผื่นขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น การพักผ่อนอยู่ในบ้านก็ควรแยกตัวเองด้วยเช่นกัน เช่น การนอน การรับประทานอาหาร และห้ามใช้ของส่วนตัวร่วมกัน
  5. เด็กทารกที่คลอดออกมาและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นหัดเยอรมันแต่กำเนิด ควรหลีกเลี่ยงการพาไปที่สาธารณะเป็นเวลา 1 ปี เช่น ไม่ควรฝากเด็กไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่ควรพาไปตลาด ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร หรือต้องแยกห้องถ้าต้องนอนในโรงพยาบาล เป็นต้น เพราะเด็กเหล่านี้ยังมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัว สามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ (โดยวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์เท่านั้น) เมื่อหลังจากอายุ 3 เดือนไปแล้ว และผลการตรวจไม่พบการติดเชื้อ จึงจะสามารถให้อยู่ร่วมกับคนทั่วไป หรือไม่ต้องแยกห้องถ้าต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลได้
  6. ผู้ที่เคยติดเชื้อหัดเยอรมัน หรือได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต แต่มีความเป็นไปได้ที่การได้รับเชื้ออีก จะทำให้ติดเชื้อได้ เพียงแต่จะไม่แสดงอาการ และเชื้อจะแบ่งตัวอยู่ที่ทางเดินหายใจส่วนบนเท่านั้น ไม่แพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด

    เชื้อหัดเยอรมันที่อยู่ในสภาพแวดล้อมภายนอกถูกทำลายได้ง่ายด้วยน้ำยาแอลกอฮอล์ 70 % (น้ำยาใช้ทำความสะอาดแผล) ฟอร์มาลิน อะซีโตน คลอรีน แสงยูวี (แสงแดด) ความร้อนตั้งแต่ 56°C/เซลเซียสขึ้นไป และความเย็นที่ -10 ถึง -20°C/เซลเซียส

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์ เมื่อ

  1. เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาโดยไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน เพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัว ควรหลีกเลี่ยงคนที่ป่วยเป็นหัดเยอรมัน และให้รู้จักสังเกตตัวเองว่ามีอาการเข้าข่ายติดเชื้อหัดเยอรมันหรือไม่
  2. เมื่อเด็กทารกที่คลอดออกมาปกติดีในช่วงแรก แต่ต่อมาเริ่มมีปัญหาทาง การได้ยิน เช่น อายุ 2-3 เดือน ได้ยินเสียงดังแล้วไม่มีอาการผวา ตกใจให้เห็น อายุ 5 เดือน ยังไม่เปล่งเสียง อ้อ แอ้ หรือ อายุ 9 เดือน ยังไม่หันมองตามเสียงที่พ่อแม่เรียก ซึ่งแปลว่าเด็กมีปัญหาทางการได้ยิน อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ รวมทั้งการติดเชื้อหัดเยอรมันจากมารดาตอนอยู่ในครรภ์ ซึ่งมารดาอาจจะไม่มีอาการอะไร หรือไม่ทันได้สังเกตอาการของตนเอง และตามที่ได้กล่าวแล้วว่า ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมัน อาจพบมีความพิการเพียงอย่างเดียว เช่น หูหนวก และมาปรากฏอาการให้เห็นเมื่อทารกโตขึ้นก็ได้ จึงต้องพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรีบรักษาต่อไป
  3. มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น เช่นพบจุดเลือดออกตาผิวหนัง มีเลือดออกตามไรฟันซึ่งเกิดจากเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติมาก หรือ เกิดมีไข้ขึ้นสูง ปวดศีรษะ ซึม ชัก จากภาวะสมองอักเสบ

ที่มา   https://haamor.com/th/โรคหัดเยอรมัน/

อัพเดทล่าสุด