สารพัดความเชื่อของแม่ท้อง


ช่วงตั้งท้องอย่างนี้มีสารพัดความเชื่อหลั่งไหลมาหาคุณแม่ จริงหรือไม่จริงอย่างไร...มาคุยกันดีกว่าครับ ...         ช่วงตั้งท้องอย่างนี้มีสารพัดความเชื่อหลั่งไหลมาหาคุณแม่ จริงหรือไม่จริงอย่างไร...มาคุยกันดีกว่าครับ ... 
เวลาที่คุณผู้หญิงจะตั้งท้องขึ้นมาซักครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะมาหาหมอและฝากท้องกับหมอเพียงคนเดียวนะครับ จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมพบว่า นอกจากจะฝากท้องกับหมอแล้ว คุณแม่ที่ตั้งท้องยังจะไปฝากท้องกับคนอีกหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหมอดู พระ ญาติผู้ใหญ่ เพื่อน หรือบางคนฝากกับศาลพระภูมิก็ยังมี ทำไมผมถึงว่าอย่างนั้นละครับ เหตุผลก็เพราะพบไม่น้อยเลยที่บางทีเวลาผมแนะนำคุณแม่ให้รับประทานยาบำรุงที่ให้ไปก็ไม่ยอมทำตาม แต่ไปซื้อสมุนไพรมากินแทนตามเพื่อนหรือญาติแนะนำ บางคนไปรดน้ำมนต์ตามคำแนะนำของพระเพื่อให้คลอดง่าย บางคนก็มารบเร้าหมอให้ผ่าคลอดตามฤกษ์ยามตามที่หมอดูแนะนำ บางคนคลอดแล้วต้องไปนอนอยู่ไฟจนมีแผลพุพองที่หน้าท้องตามคำแนะนำของยายก็มี การกระทำต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องของความเชื่อครับ และที่ผมสังเกตดูพบว่าความเชื่อเหล่านี้ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับพื้นฐานความรู้ของคุณแม่หรือสามีเท่าไร บางคนยิ่งเรียนมากยิ่งเชื่อเรื่องเหล่านี้มาก แม้แต่คนที่เรียนทางสายวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีข้อยกเว้นหรอกครับ ผมมีคนไข้ที่เรียนจบระดับปริญญาเอกทางสายวิทยาศาสตร์ แต่เวลาตัวเองท้องกลับทำทุกอย่างที่เป็นไสยศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็มี ที่มาของความเชื่อ ในสมัยก่อนการคลอดเหมือนการไปรบทัพจับศึก คุณแม่มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก เพราะการแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้าพอ คนสมัยก่อนจึงต้องเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติตามความเชื่อที่คิดว่าจะทำให้การคลอดปลอดภัย ถ้าวิธีการไหนดูแล้วคิดว่าน่าจะดีก็มีการถ่ายทอดความเชื่อนั้นส่งต่อกันมาจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งเป็นทอดๆ จนถึงปัจจุบัน ในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคที่การแพทย์มีความเจริญมากแล้วพบว่าความเชื่อที่มีมาแต่ดั้งเดิมบางอย่างยังคงมีประโยชน์ แต่บางอย่างก็มีวิธีการใหม่ที่ดีกว่าหรือบางอย่างก็พิสูจน์ได้แล้วว่าไร้เหตุผลหรือเป็นอันตราย เชื่ออะไรกันบ้าง? เพื่อให้เห็นภาพต่อเนื่อง ผมจะแบ่งความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งท้องและการคลอดออกเป็น 4 ระยะ คือระยะก่อนตั้งท้อง ระยะตั้งท้อง ระยะคลอด และระยะหลังคลอด ระยะก่อนตั้งท้อง เริ่มตั้งแต่เวลาอยากมีลูกก็ต้องไปบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายขอให้ท้องเสียทีแต่งงานมาก็นานแล้ว ผมว่าจริงๆ แล้วน่าจะมาบนกับสามีที่บ้านให้ทำการบ้านให้มากขึ้นและให้ตรงเวลาที่ไข่ตกน่าจะถูกต้องกว่า ไม่ใช่ปล่อยให้ยิงทิ้งยิงขว้างไม่ถูกเวลาแล้วอย่างงี้มันจะท้องได้อย่างไร แต่ไม่เป็นไรครับถ้าคิดว่าไปบนบานแล้วจะทำให้สบายใจก็ทำไปเถอะครับ เพราะไม่แน่เหมือนกันว่าเวลาสบายใจหรือมีความหวัง ไข่อาจจะตกดีกุ๊กกิ๊กกับสามีแค่ครั้งเดียวก็ท้องสมใจ ถ้าเป็นอย่างนี้สงสัยหลวงพ่อหรือศาลที่ไปบนดังแหงเลยครับ มีบางคนใช้วิธีการที่ฟังดูแล้วช่างพิสดารพันลึกเหลือเกิน เช่น ไปลอดท้องช้างเพราะเชื่อว่าจะทำให้มีลูกและอายุยืนยาวด้วย แต่เผอิญซวยวันที่ไปลอด ช้างเกิดตกมันเหยียบตายเลยอายุสั้นหมดสิทธิ์มีลูกแถมชีวิตตัวเองก็หาไม่ ระยะตั้งครรภ์ ความเชื่อที่พบบ่อยคือความเชื่อเกี่ยวกับอาหารการกิน บางคนก็ถูกห้ามกินเนื้อสัตว์และนมจากสัตว์เพราะจะเป็นบาป ถ้าเชื่ออย่างนั้นสงสัยลูกที่คลอดออกมาเป็นลูกกรอกให้ขุนแผนเอาไปทำกุมารท้องแน่ๆเลย เพราะไม่รู้จะเอาสารอาหารอะไรมาทำให้ลูกโต บางคนเชื่อว่าการกินอาหารที่มีสีดำ เช่น ขนมเปียกปูนหรือเฉาก๊วยแล้วลูกจะผิวดำ ความเชื่อเช่นนี้งมงายครับ คนจะขาวหรือดำเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ครับ ผมเห็นแม่บางคนชอบกินไอศกรีมกะทิลูกออกมาตัวดำปี๋ชนิดถ่านร้องไห้เลยก็ยังมี ความเชื่อยอดฮิตอีกอย่างก็คือเชื่อว่า ถ้าแม่ดื่มน้ำมะพร้าวมากๆ จะช่วยให้ลูกผิวเกลี้ยงและช่วยล้างไขตามตัวด้วย ความเชื่อนี้ผิดครับ ไขที่ติดตามตัวเด็กสร้างขึ้นมาจากเซลล์ผิวหนังของเด็กและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ยิ่งอายุครรภ์มากขึ้นไขก็จะสร้างมากขึ้นตามไปด้วย การมีไขเยอะๆ จะทำให้เด็กคลอดง่ายเพราะเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นทาตัวเด็กขณะผ่านช่องคลอดออกมา เวลาคลอดหมอสูติจะเป็นสุขมากที่เห็นไขเด็กเพราะแสดงว่าเด็กที่ออกมาน่าจะครบกำหนด นอกจากนี้หลังคลอดใหม่ๆ ไขที่คลุมตัวเด็กจะช่วยคุมอุณหภูมิของลูกไม่ให้ต่ำเกินไปได้ด้วย หมอจึงมักปล่อยเด็กโดยให้ไขติดอยู่อีกระยะหนึ่งก่อนที่จะล้างทิ้งในภายหลังเมื่อแน่ใจว่าเด็กคุมอุณหภูมิตัวเองได้แล้ว การรีบล้างไขออกโดยเร็วอาจทำให้ลูกตัวเย็นผิดปกติและเป็นอันตรายได้ ดังนั้นผมอยากให้คิดใหม่ก็คือน่าจะให้มีไขเยอะๆ แทนที่จะป้องกันไม่ให้มีซะตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องด้วยซ้ำ ที่อยากจะเตือนอีกอย่างก็คือ น้ำมะพร้าวที่เห็นใสแจ๋วนั่นน่ะความจริงมีน้ำตาลและกรดไขมันอิ่มตัวเพียบเลย กินเข้าไปมากๆ จะทำให้ลูกตัวโตแต่ไม่แข็งแรงและแม่ก็เสี่ยงต่อการเกิดไขมันอุดหลอดเลือดได้สูงขึ้น ดังนั้นงดได้ก็งดเสียนะครับ 
ที่มา  https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=283&sub_id=47&ref_main_id=11

อัพเดทล่าสุด