ภาวะเป็นพิษจาก Salicylates


1,054 ผู้ชม


แอสไพรินเป็นยาในกลุ่ม Salicylates ซึ่งออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดไข้ แก้ปวด มีหลายรูปแบบทั้งชนิดรับประทาน ชนิดเม็ด แค็ปซูล และชนิดน้ำ และยังมีรูปแบบยาที่ใช้เฉพาะที่ เช่น เป็นยาทา         แอสไพรินเป็นยาในกลุ่ม Salicylates ซึ่งออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดไข้ แก้ปวด มีหลายรูปแบบทั้งชนิดรับประทาน ชนิดเม็ด แค็ปซูล และชนิดน้ำ และยังมีรูปแบบยาที่ใช้เฉพาะที่ เช่น เป็นยาทา 

กลไกการเกิดพิษ

ภาวะเป็นพิษที่เกิดจากแอสไพริน เกิดขึ้นโดยกระบวนการ uncoupling ของ oxidative phosphorylation ผลที่ตามมาคือ เกิดภาวะทำลายกระบวนการภายในเซลล์อย่างรวดเร็วและรุนแรง เนื่องจากการยับยั้งปฏิกิริยาในร่างกายที่ใช้ ATP ทำให้เซลล์ต้องใช้ออกซิเจนมากขึ้น ผลิตคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น ปริมาณของกลัยโคเจนในตับลดลง และเพิ่มปฏิกิริยาสลายไขมัน

อุบัติการณ์

ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยได้รับพิษจากแอสไพริน ปีละประมาณ 10,000 - 15,000 ราย ร้อยละ 40 เป็นเด็กเล็ก รายการการเสียชีวิตปีละ 30 - 50 ราย

ความเข้มข้นที่ก่อให้เกิดอันตราย

  • น้อยกว่า 150 mg/kg - เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย
  • 150-300 mg/kg - เกิดผลข้างเคียงปานกลาง
  • 301-500 mg/kg - เกิดผลข้างเคียงรุนแรง
  • มากกว่า 500 mg/kg - อาจทำให้เสียชีวิตได้

อาการพิษที่สำคัญ

  • ระบบหายใจ - หอบ เกิดภาวะปอดบวมน้ำ และภาวะหายใจล้มเหลว ทำให้หยุดหายใจได้
  • พิษต่อหู - เกิดอาการเสียงหึ่งๆในหู ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อความเข้มข้นของยาในเลือดเกิน 30 mg/dL
  • ระบบหัวใจ - หัวใจเต้นเร็ว ความดันต่ำ เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจหยุดเต้น คลื่นไฟฟ้าหัวใจพบ U waves, flattened T waves, QT prolongation
  • ระบบประสาท - ชัก สับสน และหมดสติ

นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต่อระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะสมดุลกรด-เบสผิดปกติ

แนวทางการรักษา

  1. ปฏิบัติการกู้ชีวิตเมื่อมีข้อบ่งชี้
  2. ให้การรักษาภาวะฉุกเฉินอย่างเต็มที่ พิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจ ให้สายน้ำและอิเลคโตรลัยต์ทางหลอดเลือด
  3. ลดการดูดซึม โดยกระตุ้นให้อาเจียน ล้างท้อง ให้ยาถ่ายและยาระบาย
  4. การใช้ยา ipecac syrup ได้ผลดีเฉพาะใน 30 นาทีแรกเท่านั้น
  5. ไม่จำเป็นต้องเร่งขับถ่ายปัสสาวะ แต่ต้องทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง นิยมใช้ single IV bolus ของ NaHCO3 ความเข้มข้น 1-2 mEq/kg

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเสมอ

  1. การขับ salicylic acid ออกทางปัสสาวะขึ้นกับ hydrogen ion gradients ซึ่งร่างกายต้องมีโปแตสเซียมในเลือดที่พอเพียง ระวังอย่างให้เกิดภาวะโปแตสเซี่ยมในเลือดต่ำอย่างเด็ดขาด
  2. ต้องตรวจเช็คระดับกลูโคสในเลือดตลอดเวลา อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้อาการทางระบบประสาทเลวลงอย่างรวดเร็ว ระลึกไว้เสมอว่าระดับน้ำตาลในเซลล์อาจต่ำกว่าระดับน้ำตาลในเลือด
  3. หากจำเป็นหรือในรายที่รุนแรง ควรพิจารณาฟอกเลือดทันที Hemodialysis ถือเป็นการรักษาที่ได้ผลดีมากที่สุด
ที่มา https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=203&sub_id=52&ref_main_id=3

อัพเดทล่าสุด