Botox กับบทบาทการยกกระชับผิวหน้า(Facelift)


711 ผู้ชม


  • โครงสร้้างของผิวหน้าและผิวพรรณของแต่ละคน เมื่อระยะเวลาผ่านไป ก็ย่อมมีการเสื่อมตามวัย โดยเฉพาะเมื่ออายุมากกว่า 30 
ปีขึ้นไป จะพบว่าคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโครงสร้างของผิวหนังในการทำให้เต่งตึง กระชับได้เริ่มลดน้อยลง จึงทำให้เกิดมีปัญหาริ้วรอย และการหย่อนคล้อยของผิวหน้าตามมา โดยเมื่อยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใด ภาวะหย่อนคล้อยของผิวหน้าก็จะยิ่งมากขึ้น จากที่แค่มีแค่ริ้วรอยที่หน้าผาก ตีนกา ร่องแก้ม อาจจะลุกลามมากขึ้น เช่น หางตาเริ่มตก แก้มหย่อน ร่องแก้มลึก ร่องปากเริ่มตกลง และ ผิวหน้าโดยรวมก็ย่อนคล้อยมากขึ้น ลามมาถึงบริเวณคอ ซึ่งจะยิ่งเห็นได้ชัดเมื่ออายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
  • การไม่ยอมแพ้แก่สังขาร ทำให้มนุษย์สรรหาสารพัดวิธีการในการแก้ไขและฟื้นฟูผิวหน้าโดยรวม ให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าปกติ เช่น การใช้ครีมสารพัดยี่ห้อ อาหารเสริมบำรุงผิวพรรรณ การฉีดโบทอกซ์ลดริ้วรอยต่างๆ การฉีดเติมสารเติมเต็ม(Filler agents) ตามร่องแก้ม ริ้วรอย การทำศัลยกรรมต่างๆ ฯลฯ
  • การยกกระชับผิวหน้า( Facelift) ก็จัดเป็นวิธีการหนึ่งที่เป็นที่นิยมในการทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์วัยลง เพราะนอกจากจะทำให้หลายส่วนบนใบหน้าที่เริ่ม หย่อนคล้อย ได้ยกกระชับเต่งตึงขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้ริ้วรอยต่างๆ ลดลงได้อีกด้วย เราแบ่งการยกกระชับผิวหน้า( Facelift) ออกได้เป็น 3 หลักการใหญ่ๆ ดังนี้ 
    1. การยกกระชับผิวหน้าโดยการผ่าตัด(Surgical Facelift) - จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ถือว่าเป็นที่นิยมมานานหลายทศวรรษ เพราะเปรียบเสมือนการยกเครื่อง ครั้งใหญ่ของใบหน้า โดยการกรีดผิวหนังบริเวณหนังศีรษะหรือขมับ แล้วตัดผิวหนังที่หย่อนคล้อยไม่ต้องการออกไป แล้วดึงรั้งผิวหน้าให้เต่งตึงขึ้น แน่นอน! ย่อมเป็นการยกกระชับผิวหน้าที่ได้ผลแน่นอน เห็นผลไว แต่ก็ทำให้ท่านต้องมีบาดแผลหลังผ่าตัด ต้องเจ็บตัว ต้องพักฟื้น และค่าใช้จ่ายก็สูงมาก ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญ ในการทำศัลยกรรมตกแต่งอย่างมาก ผลที่ได้จึงจะพอใจและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ที่สำคัญไม่สามารถจะทำได้บ่อยๆ ดังนั้นการทำ การยกกระชับผิวหน้าโดยการผ่าตัด(Surgical Facelift) จึงมักจะเป็นทางเลือกสุดท้าย และมักจะนิยมทำกันในคนที่อายุมากๆ แล้วเท่านั้น ( ปัจจุบันแพทย์มักจะแนะนำให้ทำเมื่ออายุมากกว่า 60-70 ปี ) 
    2. การยกกระชับผิวหน้ากึ่งผ่าตัด(Semi-Surgical Facelift) - จากผลไม่พึงประสงค์ของการยกกระชับผิวหน้าด้วยการผ่าตัด ทำให้ทางการแพทย์ได้มีการพัฒนาการยกกระชับผิวหน้าให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ได้ผลดีพอควร ผลข้างเคียงน้อยกว่าแบบแรก นั่นก็คือ การยกกระชับผิวหน้าด้วยไหมชนิดพิเศษ(Aptos) สอยบนใบหน้า เรียกว่าเทคนิค Facial Lifting with Aptos Threads ซึ่งเป็นไหมพิเศษที่มีหนามเป็นเขี้ยวในเส้นไหม (ดูภาพประกอบ) ซึ่งเมื่อแทงเข้าไปในผิวหน้า เขี้ยวเล็กๆ เหล่านี้จะเกาะเกี่ยวกับชั้นผิวหนัง ทำให้ง่ายต่อการยกกระชับผิวหน้า เหมือนการสอยเย็บผ้า ยังไงยังงั้นแหละครับ เป็นเทคนิคการยกกระชับที่มีต้นกำเนิดจากแพทย์ในรัสเซีย ชื่อ Dr. Marlen Sulamanidze โดยได้เริ่มมีการทำตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 แล้วปัจจุบันในเมืองไทยก็มีแพทย์หลายท่านได้นำวิทยาการนี้มาประยุกต์ใช้ในการยกกระชับผิวหน้า แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมกันมากนัก เพราะก็ต้องทำในห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ แพทย์ที่ทำการรักษาต้องมีความชำนาญและประสบการณ์อย่างมาก จึงจะรู้เทคนิคการสอยด้ายนี้อย่างไร จึงจะได้ผลมากที่สุด คนไข้ต้องวางยาสลบหรือฉีดยาชาหลายจุด จึงจะบรรเทาความเจ็บได้ ต้องมีการพักฟื้นหลังการทำ 3-7 วัน และผลที่ได้ก็ได้ผลดีเฉพาะโครงหน้าและลักษณะหย่อนคล้อยของบางคนเท่านั้น ไม่เสมอไปทุกคน ที่สำคัญหลายคนที่ทำไปแล้ว ก็ไม่ค่อยสบายใจในการต้องดูแลผิวหน้าหลังทำ เพราะถ้ากระทบกระเทือนผิวหน้ามากๆ ก็อาจจะทำให้เข็มเล็กๆ ที่เป็นแง่งของด้ายที่เกาะไว้กับผิวหน้า อาจจะหัก ทำให้ไหมที่เย็บร้อยไว้ อาจจะหย่อน และก็เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมบนผิวหน้าได้ตลอดเวลา วันดีคืนดี อาจจะเห็นเส้นไหมโผล่ออกมาให้สัมผัสได้ หรือเกิดการอักเสบภายหลังได้ การจะทำการรักษาผิวหน้าด้วยวิธีอื่นๆ เสริม ก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก อ่านเพิ่มเติมรายละเอียดได้ที่นี่https://www.bangkoksurgery.com/english/content/featherlift.html 
    3. การยกกระชับผิวหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด(Non-Surgical Facelift)-จัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการยกกระชับผิวหน้า ที่ถือว่าเจ็บตัวน้อยสุด ผลข้างเคียงน้อยสุด แต่ก็ได้ผลดีพอสมควร ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายวิธีในการยกกระชับผิวหน้า ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยมีประสบการณ์กันมาแล้ว ซึ่งจะไล่เรียงดังนี้ 
    3.1 การนวดหน้า ( Facial Massage) : จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอนุรักษ์นิยม คือมีมาแต่โบราณกาล เห็นได้บ่อยในร้านเสริมสวย สปา คลินิกความงามทั้งหลาย โดยการใช้มือคนเราในการนวดผิวหน้า อาจจะใช้ครีมหรือตัวยา สมุนไพรต่างๆ ร่วมด้วย การกดจุด จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอ่อนๆ ที่ได้ผลน้อยที่สุด ราคาถูก เหมาะกับผิว ที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนัก (อายุน้อยกว่า 30 ปี) และก็ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หยุดทำเมื่อไหร่ ผิวหน้าก็คืนสภาพกลับมาเหมือนเดิม 
    3.2 Phonophoresis/Iontophoresis: จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้าแบบอ่อนๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ได้ผลพอควร เหมาะกับผิวที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนักเช่นกัน (อายุน้อยกว่า 30 ปี) เป็นหลักการที่ใช้คลื่นความถี่สูงหรือการแตกประจุของตัวยา ในการกระตุ้นกล้ามเนื้อให้หดตัว แต่ต้องทำบ่อยๆ เป็นประจำหลายครั้ง มิฉะนั้นผิวหน้าก็จะกลับมาเหมือนเดิมได้ 
    3.3 การยกกระชับผิวหน้าด้วยเลเซอร์คลื่นแสง(IPL): ก็จัดเป็นการยกกระชับผิวหน้า โดยใช้คลื่นแสงความถี่จำเพาะ ไปกระตุ้นชั้นหนังแท้ให้มีการสร้างคอลลาเจนขึ้นมา จึงทำให้ผิวหน้าเต่งตึงกระชับ ได้ผลเร็วและพอควร ไม่เจ็บตัวมากนัก ไม่มีผลข้างเคียงใด แต่ก็ต้องทำหลายครั้ง และก็ได้ผลกับผิวที่ไม่ได้หย่อนคล้อยมากนักเช่นกัน (อายุน้อยกว่า 40 ปี) 
    3.4 การยกกระชับผิวหน้าด้วยคลื่นความถี่สูง (Radiofrequency:RF):เป็นวิทยาการทันสมัยที่มีการพัฒนามาอีกระดับหนึ่ง ได้เริ่มมีการใช้แพร่หลายในช่วงปี ค.ศ. 2002 โดยการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงเป็นตัวควบคุมปริมาณของพลังงาน โดยจะสร้างความร้อนให้แก่คอลลาเจนที่อยู่ภายใต้ผิวหนังในขณะเดียวกันจะให้ความเย็นแก่ผิวชั้นนอก การเกิดความร้อนสม่ำเสมอเช่นนี้ จะทำให้โครงสร้างอยู่ภายใต้ผิวหนังมีการกระชับตัวที่ดีขึ้นในทันทีซึ่งภายในระยะเวลาต่อมาคคอลลาเจนจะถูกสร้างเพิ่มขึ้นเพื่อในการกระชับผิวเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และผลลัพธ์ที่ได้คือการมีสภาพผิวที่แข็งแรง กระชับ นุ่มนวล และดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งเครื่องมือในกลุ่มนี้ก็มีหลายตัว เช่น Thermage, Polaris,Electro-Optical Synergy (ELOS-tm ) ฯลฯ แต่ก็ยังไม่นิยมแพร่หลาย เพราะค่าใช้จ่ายในการทำค่อนข้างสูงมาก และผลที่ได้ต้องใช้เวลานานมากกว่า 4-6 เดือน ทำให้คนใจร้อนทั้งหลาย ไม่ค่อยพอใจ แถมขณะที่ทำต้องทายาชานานพอสมควร จึงจะไม่เจ็บมากขณะที่ทำ และก็ต้องทำต่อเนื่องทุก 3-6 เดือน 
    3.5 การยกกระชับผิวหน้าด้วยการฉีด Botox : จัดเป็นวิทยาการล่าสุดในปัจจุบันที่นำมาทำการยกกระชับผิวหน้า Botox คือ Botulinum toxin ชนิด A ซึ่งเป็นผงปราศเชื้อของ แบคทีเรีย Clostridium botulinum Hall strain มาผ่านกระบวนการทำให้บริสุทธิ์ แล้วนำมาผสมน้ำเกลือ แล้วฉีดเข้าชั้นผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ สรรพคุณของ Botox ก็คือทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดการหดเกร็ง (อ่านบทความหลากหลายของ Botox ก่อนหน้านี้ได้ที่นี่https://www.clinicneo.co.th/2007/showcolumn.php?sdata=botox) ดังนั้นการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ ส่วนหนึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อบนใบหน้า บางมัดที่เกี่ยวข้องกับการดึงรั้ง (Depressor muscles) ทำงานมากกว่ากล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการยกกระชับ(Levator muscles) จึงดึงใบหน้าโดยรวมให้คล้อยต่ำตามแรงดึงดูดของโลก การฉีด Botox ก็คือการฉีดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการดึงรั้ง (Depressor muscles)ให้อ่อนแรงลง แล้วทำให้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการยกกระชับ(Levator muscles) ทำงานได้มากกว่า จึงดึงใบหน้าให้ยกขึ้นชนะแรงโน้มถ่วงของโลก ผิวหน้าก็จะกลับมาตึงกระชับได้ การยกกระชับผิวหน้าด้วยการฉีด Botox จัดเป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากราคาถูก ไม่เจ็บตัวมากนัก ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ผลข้างเคียงน้อยมาก ที่สำคัญ ได้ผลเร็วภายใน 2 อาทิตย์ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวหน้าเรียวเล็กลง แก้ไขปัญหาคิ้วตก หนังตาตก ทำให้ทุกส่วนเต่งตึงได้แม้แต่ในบริเวณลำคอ (ซึ่งการดึงหน้าด้วยการผ่าตัด หรือ คลื่นความถี่สูง (Radiofrequency:RF) ไม่สามารถทำได้) แต่ก็มีข้อเสียคือต้องฉีดซ้ำทุก 4-6 เดือน
  • เห็นมั้ยหละครับว่า มนุษย์เราพยายามที่จะเอาชนะสังขารตามวัยกันอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ทั้งศาสตร์และศิลป์ จากระบบภายในร่างกายและระบบภายนอกร่างกาย การพัฒนาการด้านการแพทย์ได้ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว ความรู้บางอย่างในปัจจุบันหรืออดีต อาจจะเป็นที่นิยมในช่วงหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในอนาคตกาล อาจจะมีวิธีการใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย ดังนั้นขออย่าให้เราได้ยึดติดมากนัก ทำใจไว้เผื่อการเปลี่ยนแปลงในทุกอย่าง ทุกด้านด้วยนะครับ 
    เรียบเรียงและค้นคว้าโดยนพ.จรัสพล รินทระ 
    Update ข้อมูลล่าสุด..............08 February,2008

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=9&sdata=&col_id=324

อัพเดทล่าสุด