ยารับประทาน กลุ่มเรตินอยด์ เพื่อ รักษาสิว ลดหน้ามัน และรอยแผลเป็น


851 ผู้ชม


  • Retinoids เป็นยากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ ซึ่งประกอบด้วยสาร 13-cis retinoic acid ซึ่งรู้จักกันแพร่หลายในชื่อทางเคมี คือ Isotre
tinoin และ> ที่วางขายในเมืองไทย ในปัจจุบันมีอยู่ 3 ยี่ห้อ ซึ่งมีชื่อทางค้าว่า Roaccutane (ของบริษัทโรช) หรือ Acnotin (ของบริษัท เมกา โปรดักซ์) หรือ ISOTANE ( ของบริษัท พรีเมียร์ ฟาร์มา ซัพพลาย จำกัด) จัดเป็นยาที่ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งในการรักษาสิวยุค 2000 เพราะจัดยาเป็นยาเพียงชนิดเดียวที่ใช้ต่อเนื่องมามากกว่า 15 ปี ที่สามารถรักษาโรคสิวให้หายขาดได
  • กลไกการออกฤทธิ์ของยา ที่สามารถรักษาสิวให้หายขาดได้ เนื่องจากมีผลต่อทุกปัจจัยที่มีส่วนที่ทำให้เกิดสิว ดังนี้    
  • ลดการผลิตไขมัน(sebum)ที่ต่อมไขมัน ทำให้ผิวหน้ามันลดลง    
  • ลดอัตราการเกิดสิวอุดตัน   
  • ลดจำนวนแบคทีเรีย P.acne ที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ โดยมีผลงานวิจัยของ ศจ. Jean-Hilaire Saurt หัวหน้าภาควิชาโรคผิวหนังของมหาวิทยาลัยเจนีวา แสดงว่า ผู้ป่วยสิวที่ได้รับยา Isotretinoin จนครบ 8-16 สัปดาห์ จะมีจำนวนเชื้อสิวที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ    
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้รอยแผลเป็น รอยหลุมสิว เรียบเนียนขึ้นได้
  • ขนาดของยาที่รับประทาน มักเริ่มที่ วันละ 0.5 มก./ก.ก. หรือ ประมาณ 10 มก.ต่อวัน( โดยยาที่มีจำหน่ายทั่วไป มี 2 ขนาด คือ แคบซูล 10 มก. และ 20 มก.) และรับประทานต่อเนื่องจนมีขนาดยาสะสม คือ 120 มก.ต่อก.ก. ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ปี แต่ส่วนใหญ่มักใช้ในรายที่มีสิวรุนแรง และอักเสบมาก กรณีที่เป็นไม่มาก แพทย์มักให้รับประทานระยะเวลาสั้นๆ 3-6 เดือน แล้วหยุดยา ถ้ามีอาการขึ้นมาใหม่ถึงให้รับประทานยาต่อ และฤทธิ์ยาจะสะสมต่อเนื่อง
  • ผลข้างเคียงและข้อห้ามใช้ยา มีดังต่อไปนี้    
  • ริมฝีปากแห้ง คอแห้ง   
  • จมูกและตาแห้ง   
  • ผิวหน้าแห้งตึง    
  • สิวอาจเห่อได้ เมื่อรับประทานยาในสัปดาห์แรก   
  • ทำให้ทารกในครรภ์พิการ หรือ แท้งได้ ดังนั้นจะต้องหยุดยาจนครบ 1 เดือนก่อน จึงจะตั้งครรภ์ได้   
  • ไม่แนะนำให้บริจาคเลือดขณะรับประทานยา กลุ่ม Retinoids   
  • มีอาการซึมเศร้าได้ หลังหยุดยาทันที แต่อัตราการเกิดน้อย ถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์
  • เมื่อรับประทานยาเกิน 6 เดือน ควรตรวจเลือด และร่างกายเกี่ยวกับการทำงานของตับ ระดับไขมันในเลือด เพราะอาจจะทำให้ระดับ SGOT,SGPT และ Triglyceride สูงขึ้นจากปกติได้ 
    เรียบเรียงใหม่โดยนพ.จรัสพล รินทระ .................09/05/2005

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=3&sdata=&col_id=23

อัพเดทล่าสุด