ไฝ ขี้แมลงวัน กับโอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนัง


  • ไฝ และขี้แมลงวัน เป็นภาวะปกติของผิวหนังที่พบได้บ่อยๆ ในเกือบทุกคน จะมากน้อยแตกต่างก็แล้วแต่เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ �
��ละตัวบุคคลเอง แต่ก็มีคำถามกันบ่อยๆว่า ถ้ากรณีที่มีปริมาณมากๆ หรือลักษณะอย่างนี้ จะมีอันตรายอะไรหรือไม่ จะกลายเป็นมะเร็งภายหลังหรือเปล่า จึงขอนำเสนอบทความการจะพิจารณาอย่างไร ในการจะพบแพทย์เพื่อแก้ไขปัญหาใฝ ขี้แมลงวัน ว่าจะกลายพันธุ์ในอนาคตหรือไม่
  • ไฝ และขี้แมลงวัน มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของ Melanocyte (ซึ่งเป็นเซลล์ที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) โดยมีหน้าที่ใน การสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งปริมาณและขนาดของเมลานิน จะเป็นตัวกำหนดสีผิวของคนเรา ว่าจะมีผิวขาว ผิวคล้ำ มากน้อยเพียงใด ) แล้วเกิดเป็นเนื้องอกจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เมลาโนไซท์ โดยไฝจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน ส่วนขี้แมลงวันจะเป็นตุ่มราบสีดำ และอยู่ตื้นกว่าไฝ
  • โดยทั่วๆ ไป ไฝ และขี้แมลงวัน จะมีการเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างช้าๆ ซึ่งมักจะสังเกตได้ในช่วงวัยรุ่น หรือตั้งครรภ์ โดยการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นในบริเวณทั่วตัวพร้อมๆ กัน และมีการติดตามแล้วพบว่า ไฝ และขี้แมลงวัน จะมีโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ที่เรียกว่า Melanoma ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่ในคนไทยพบได้น้อย ดังนั้นการสังเกตความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกเริ่ม จึงมีความจำเป็น และแก้ไขได้ทันท่วงที
  • ลักษณะของ ไฝ และขี้แมลงวัน ที่อาจจะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป มีดังนี้ 
    1. ไฝ และขี้แมลงวัน ที่ได้รับการระคายเคืองบ่อยๆ 
    2. ไฝ และขี้แมลงวัน ในบริเวณที่สังเกตได้ยาก เช่น บนหนังศีรษะ หรืออวัยวะเพศ 
    3. ไฝ และขี้แมลงวัน ที่มีมาแต่กำเนิดและขนาดใหญ่ เช่น ไฝยักษ์ ( Giant congenital melanoma
  • ไฝ หรือขี้แมลงวัน ที่มีลักษณะผิดปกติ ได้แก่ 
    1. สีดำเข้มผิดปกติกว่าที่อื่นๆ 
    2. สีที่ไม่สม่ำเสมอ หรือสีเปลี่ยนอย่างกะทันหัน 
    3. ขอบเขตไม่เรียบ 
    4. ขนาดใหญ่เกิน 5 มม. 
    5. โตเร็วผิดปกติ
  • ขั้นตอนการวินิจฉัยและจัดการกับไฝ และขี้แมลงวัน ที่ผิดปกติของแพทย์ผิวหนัง โดยทั่วๆ ไป มีดังนี้ 
    1. ตัดไฝ และขี้แมลงวันออกทั้งหมด (Excisional Biopsy) ซึ่งถือว่าเป็นเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด แต่มักใช้ได้กับไฝที่ไม่โตมากนัก แล้วส่งชิ้นเนื้อของไฝ และขี้แมลงวัน ส่งตรวจพยาธิสภาพ ถ้าบ่งว่าเป็นมะเร็ง ก็ทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไป 
    2. ตัด ไฝ และขี้แมลงวันออกบางส่วน ( Incisonal Biopsy) มักจะใช้ในกรณีที่ไฝที่มีขนาดใหญ่ ถ้าตัดออกหมด อาจจะทำให้สูญเสียความสวยงาม หรือ อาจจะทำให้มีผลต่อการใช้งานได้ แล้วส่งชิ้นเนื้อของไฝ และขี้แมลงวัน ส่งตรวจพยาธิสภาพ ถ้าบ่งว่าเป็นมะเร็ง ก็ทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไปเช่นกัน 
    3. หมั่นตรวจ ติดตามผล โดยอาจจะต้องถ่ายรูปผิวหนังบริเวณดังกล่าวเป็นระยะๆ และพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง 
    4. ไม่แนะนำให้ทำการจี้ หรือกำจัดออกด้วยการไฟฟ้า หรือเลเซอร์ สำหรับกรณีไฝที่ผิดปกติ หรือสงสัยเนื้อร้าย เพราะอาจจะทำให้ไม่สามารถส่งชิ้นเนื้อ ไปตรวจพยาธิสภาพได้ และอาจจะทำให้การแปรผลผิดพลาดได้เช่นกัน
  • ได้เคยมีการศึกษา ถึงอัตราการเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง จากการปัจจัยต่างๆดังนี้ ว่าจะมีโอกาสเกิดได้สูงกี่เท่า ดังตารางต่อไปนี้
    ลักษณะของไฝ
    อัตราเสี่ยง (เท่า)
    มีไฝ ขนาด หรือรูปร่างเปลี่ยนแปลง
    สูงมาก
    อายุมากกว่า 15 ปี เมื่อเทียบกับอายุน้อยกว่า 15 ปี
    88
    ผิวขาว เมื่อเปรียบเทียบกับคนผิวดำ
    20
    มีไฝขนาดใหญ่ตั้งแต่ 2 มม. ขึ้นไป 50 เม็ด
    4-54
    มีไฝขนาดใหญ่ตั้งแต่ 5มม. ขึ้นไป 5 เม็ด
    7-10
    มีไฝขนาดใหญ่ตั้งแต่ 5มม. ขึ้นไป 12 เม็ด
    41
    เคยเป็น มะเร็งผิวหนัง Melanoma มาก่อน
    9
    มีญาติสายตรงเป็น มะเร็งผิวหนัง Melanoma
    8
    มีภาวะถูมิคุ้มกันบกพร่อง
    4
    มีไฝ เป็นมาแต่กำเนิด
    2-21

    เรียบเรียงและค้นคว้าโดยนพ.จรัสพล รินทระ....................13 September,2003

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=8&sdata=&col_id=248

อัพเดทล่าสุด