ชายวัยทอง (Andropause in Anti-Aging approach)


1,771 ผู้ชม


  • ชายวัยทอง (Andropauase) คืออะไรเดิมเรามีความเชื่อกันว่า ผู้ชายจะคงความเป็นชายหรือมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายไปตล��
�ดชีวิต ส่วนผู้หญิงนั้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วรังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง จึงเรียกว่าวัยหมดประจำเดือน แต่ความรู้ใหม่ พบว่าไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ต่างก็ต้องก้าวเข้าสู่วัยทองกันทั้งนั้น โดยมีการวิจัยทางการแพทย์จากหลายๆ ประเทศพบว่า ชายทุกคน เมื่ออายุย่างเข้าวัย 40 ปีขึ้นไป การสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยจะมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลงปีละประมาณร้อยละ 1 และเมื่ออายุ 65 ปีจะมีระดับฮอร์โมนนี้ลดลงกว่าช่วงวัยรุ่นถึงร้อยละ 25 เมื่อระดับของฮอร์โมนเพศชายลดลงถึงระดับหนึ่งจะเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วน ทำให้เกิดอาการต่างๆคล้ายกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
  • อาการ ! ที่บ่งบอกถึง " ภาวะการพร่องฮอร์โมนเพศชาย " อาการที่พบได้ในผู้ชายวัยทอง คือ 
    - เครียด หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย บางครั้งอาจจะรู้สึกซึมเศร้า อยากอยู่คนเดียว ไม่ชอบพบปะผู้คนหรือเข้าสังคม 
    - เหงื่อออกมาก เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว สมาธิลดลง นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับก็หลับไม่สนิท 
    - โครงสร้างของร่างกาย เช่น กระดูกต่างๆ เริ่มเสื่อมถอย (แม้จะไม่ชัดเจนเหมือนผู้หญิง) กล้ามเนื้อเริ่มมีขนาดเล็กลง ไม่กระชับ มีการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ โดยจะสังเกตได้ชัดที่กล้ามเนื้อต้นแขน 
    - สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งเรื่องนี้แหละที่ผู้ชายส่วนใหญ่วิตกกังวลกันมากเป็นพิเศษ 
    - การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผู้ชายวัยทองที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การเผาผลาญไขมันจะลดลง จึงทำให้มีไขมันส่วนเกินได้ง่าย ดังนั้นผู้ชายวัยทองจึงมักจะลงพุง 
    - กำลังวังชา เริ่มถดถอย มีอาการเหนื่อยง่าย เมื่อต้องออกแรงหรือทำงานหนัก 
    - ผิวหนัง เริ่มหย่อนคล้อย ริ้วรอยมากขึ้น ริมฝีปากบาง และผมบางมากขึ้น 
    - มีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น โรคหัวใจ กระดูกพรุน ต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะออกลำบาก
  • ปัจจัยที่ทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลงเร็วกว่าปกติ นอกจากอายุซึ่งเป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงแล้ว ปัจจุบันยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้ชายเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ นั่นคือ 
    - เรื่องของกรรมพันธุ์ 
    - การทำงานหนัก และพักผ่อนน้อย 
    - มีความเครียดตลอดเวลา 
    - ความอ้วน 
    - การขาดสารอาหารบางชนิด (เช่น แร่ธาตุสังกะสี เบต้าแคโรทีน) 
    - การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ 
    - มีโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไตวาย ฯลฯ) 
    - การกินยาบางชนิด (เช่น ยารักษาไทรอยด์) 
    - การออกกำลังกายที่มากเกินไป เป็นต้น 
    - สรุปได้ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ร่างกายเสื่อมถอยเร็ว จะทำให้มีการหมดฮอร์โมนเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน
  • การวินิจฉัย 
    เนื่องจากมีความแตกต่างของการขาดฮอร์โมนเพศในชายและหญิงวัยทอง คือ ในผู้ชายวัยทองฮอร์โมนเพศจะค่อยๆ ลดลง และไม่ได้ขึ้นกับอายุ อีกทั้งยังมีความแตกต่างกันผู้ชายแต่ละคน บางคนอาจจะเริ่มมีปัญหาตั้งแต่อายุน้อยๆ (น้อยกว่า 40 ปี ) แต่ผู้ชายที่มีอายุ 80 ปีบางคนก็ยังมีฮอร์โมนเพศและสุขภาพยังดีอยู่ก็ได้ จึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์การวินิจฉัยดังนี้ 
    1. อาศัยอาการ ด้วยการประเมินอาการ 3 ด้าน คือ ด้านร่างกายและระบบไหลเวียน ด้านจิตใจ และด้านเพศ โดยอาศัยแบบสอบถาม ซึ่งช่วยในการคัดกรอง และใช้ในการติดตามผล 
    2. จากการตรวจเลือด เพื่อหา ฮอร์โมนเทสทอสเตอโรน แบบรวม(Total testosterone ) และ Sex Hormone Binding Globulin(SHBG) ในช่วงเวลา 6.00-8.00 น. และควรงดอาหารก่อนตรวจอย่างน้อย 8 ชม. (อาจจะดื่มน้ำได้บ้างตอนเช้า) จึงจะได้ค่าที่ถูกต้องและใกล้เคียงความจริง แล้วนำผลเลือดทั้งสองมาคำนวณให้ได้ค่าฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนอิสระ (Free Testosterone) ซึ่งมีความแม่นยำกว่าการตรวจ เทสทอสเตอโรนรวม แล้วนำผลมาพิจารณาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน แต่จริงๆ แล้วชายวัยทอง ไม่มีตัวเลขระดับฮอร์โมนเทสทอสเตอโรนที่แน่นอนว่าเท่าไหร่ จึงจะเรียกว่าภาวะพร่องฮอร์โมน ดังนั้นแนวความคิดใหม่ของแพทย์ ด้าน Anti-Aging จึงมักจะแนะนำให้ผู้ชายทุกคน ควรตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพศชายในช่วงที่ยังไม่มีอาการผิดปกติ และตรวจติดตามทุก 10 ปี ว่ามีแนวโน้มการลดลงของฮอร์โมนเพศชายหรือไม่ หรือเมื่อเริ่มมีอาการทางกาย อารมณ์ และเรื่องทางเพศ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น นอกจากนี้ แพทย์ ด้าน Anti-Aging อาจจะมีการตรวจระดับฮอร์โมนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น FSH,LH,Estradiol,DHEA,Growth hormone(IGF-1) ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
  • จะดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเข้าสู่อาการชายวัยทอง 
    ถึงแม้มนุษย์จะไม่สามารถเอาชนะความเสื่อมถอยได้ แต่ก็พอมีวิธีที่จะยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่ม ให้ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติเอง นั่นคือ 
    1. อาหาร: นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว ชายวัยทองควรจะเน้นการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนชนิดดีในปริมาณที่สูง เช่น ปลา สัตว์ปีก พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ผักใบเขียว เป็นต้น และควรจะรับประทานแคลเซียม ซึ่งจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูก ชายวัยทองควรจะได้รับแคลเซียมวันละ 1,500 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรจะควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือด โดยงดรับประทานอาหารที่มีโคลเลสเตอรอลสูง เช่น หอยนางรม ไข่แดง ควรงดของที่มีรสหวาน ชา กาแฟ อัลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้ระดับฮอร์โมนในเลือดลดลงได้ 
    2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ เป็นต้น 
    3. การบริหารสุขภาพจิต: เพื่อลดความเครียดจากอาการทางกาย เช่น การไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ การเล่นโยคะ การมีสังคมกับคนรอบข้าง มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว 
    4. ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอปีละ 1 ครั้ง: ตรวจเช็คความดันโลหิต ตรวจเลือดหาระดับไขมัน ตรวจภายในเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก ตรวจหามะเร็งลำไส้ มะเร็งตับอ่อน และตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density) 
    5 การให้ฮอร์โมนอื่นทดแทน (Hormonal Replacement Therapy-HRT) : พบว่าเมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น จะพบว่ามีฮอร์โมนหลายตัวที่ลดระดับหนึ่ง ดังนี้เขียนไว้ในบทความนี้https://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=10&sdata=&col_id=328มีการรายงานทางการแพทย์ว่า เพื่อเราทำการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทนตัวอื่นๆ เช่นGrowth hormone ,Melatonin,,DHEA, Thyroid hormone ในคนไข้ที่ขาดออร์โมนเหล่านี้ เมื่อเพิ่มระดับฮอร์โมนเหล่านี้ในระดับที่น่าพอใจแล้ว ก็มีผลส่งให้ระดับฮอร์โมน Testosterone เพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นกัน 
    5 การให้ฮอร์โมนทดแทน (Testosterone Replacement Therapy) : การใช้ฮอร็โมนเพศชายทดแทนในผู้ชายวันทองนั้นเพิ่งมีการนำมาใช้ไม่นานมานี้เอง ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคที่พอจะป้องกันได้ และประวิงเวลาของโรคที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งข้อดีของการให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน คือ การให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทนในผู้ชายวัยทองให้เข้าสู่ระดับปกติ โดยไม่สูงเกินไป จะมีประโยชน์เพื่อลดปัญหาที่เกิดในชายวัยทองดังได้กล่าวมาข้างต้น โดยปัจจุบันมีการให้การให้ฮอร์โมนทดแทนชายวัยทอง ในหลายรูปแบบ เช่น 
    แบบรับประทาน : พบว่าเดิมมีการใช้การให้ฮอร์โมนทดแทนแบบรับประทาน แต่พบว่ามีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ ถ้าทานติดต่อกันนานๆ เพราะตัวยารับประทานอาจจะผ่านตับได้ กรณีที่ใช้ฮอร์โมนทดแทนเพศชายแบบทานติดต่อกันนานๆ แนะนำให้ตรวจระดับฮอร์โมน ความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) และตรวจเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ไม่ควรจะซื้อยามารับประทานเอง 
    แบบฉีด : เหมาะสำหรับคนไข้ที่มีระดับฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ต่ำมากๆ หรือผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปี) โดยจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายได้เร็วกว่าแบบอื่นๆ และสะดวกในการใช้ เพราะฉีด 1-3 เดือนต่อครั้ง แต่บางครั้งก็พบว่า ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงได้เร็วเช่นกัน และพบว่ามีรายงานว่า การเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายอย่างรวดเร็ว จะทำให้ฮอร์โมนเพศชายบางส่วน เปลี่ยนแปลงเป็นฮอร์โมนเพศหญิง(Estrogen) โดยผ่านกระบวนการ Aromatase Activites จึงมักจะมีการเสริมการให้สังกะสี ควบคู่ไปด้วย เพื่อรบกวนการทำงานของเอนไซม์ Aromatase กรณีที่ใช้ฮอร์โมนทดแทนเพศชายแบบฉีด แนะนำให้ตรวจระดับฮอร์โมน ความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) และตรวจเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก(PSA) เป็นระยะๆ หรือตามแพทย์สั่งอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับแบบรับประทาน 
    แบบทา (Transdermal Testosterone): จัดเป็นฮอร์โมนทดแทนเพศชาย ที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงมาก โดยระดับฮอร์โมนเพศชายจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และไม่เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงเป็นฮอร์โมนเพศหญิง(Estrogen) โดยผ่านกระบวนการ Aromatase Activites ) และไม่ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งตับหรือต่อมลูกหมากมากขึ้น 
    แบบเหน็บ หรือฝังใต้ผิวหนัง : จัดเป็นฮอร์โมนทดแทนเพศชาย ที่ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงดังสองแบบแรก เช่นกัน และได้ผลใกล้เคียงกับแบบทา สะดวกที่ไม่ต้องทาทุกวัน แต่ไม่สะดวกสำหรับบางคน เพราะมักจะฝังไว้ที่บั้นท้าย เป็นที่นิยมในแถบยุโรป แต่ในเอเซีย ยังนิยมแบบทาและรับประทานมากกว่า
  • ข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน 
    1. เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือว่าสงสัยจะเป็น 
    2. เป็นมะเร็งเต้านม หรือสงสัยว่าจะเป็น 
    3. ต่อมลูกหมากโตทีมีอาการอุดตันการปัสสาวะที่รุนแรง 
    4. มีความเข้มข้นของเลือดมากเกินไป 
    5. มีการหยุดหายใจขณะหลับ 
    6. หัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรง 
    7. ต่อมลูกหมากโตอย่างรุนแรง จนมีอาการของการอุดตันทางเดินปัสสาวะ 
    8. แพ้ฮอร์โมนเพศชาย
  • การติดตามชายวัยทองที่ได้รับฮอร์โมนทดแทน ควรมีการตรวจระดับฮอร์โมนเริ่มต้นไว้ก่อน ที่จะให้ฮอร์โมนทดแทน และการตรวจซ้ำเมื่อครบทุก 3 เดือน หรือทุกปี แล้วแต่แพทย์จะนัดติดตามผล นอกจากการตรวจฮอร์โมนเพศเพื่อการวินิจฉัยภาวะพร่องฮอร์โมน แล้วควรตรวจ 
    1. การตรวจเพื่อคัดกรองหาโรคในผู้สูงอายุทั่วไป เช่น ดัชนีมวลกาย สัดส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก ความดันโลหิตสูง ความเข้มข้นของเลือด เบาหวาน ไขมันในเลือด โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคต่อมลูกหมากโต มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ ถ้าหากไม่มีปัญหาค่าใช้จ่ายก็อาจจะตรวจความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มเติม 
    2. ประเมินพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของชุมชน 
    3. . ผู้ที่ใช้ฮอร์โมนทดแทน ควรได้รับการตรวจ ความเข้มข้นของเลือด และ PSA (เพื่อคัดกรองหามะเร็งของต่อมลูกหมาก) ทุก 3 เดือน 
    เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ 
    ปรับปรุงข้อมูลล่าสุด ........................20 March,2009

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=10&sdata=&col_id=343

อัพเดทล่าสุด