เปลือกสนมาริไทม์ ยารับประทานรักษาฝ้า วิธีรักษาฝ้าบนใบหน้า รักษาฝ้าที่ไหนดี


2,132 ผู้ชม


  • ฝ้า คือ โรคที่พบบ่อยในคนแถบเอเซีย และรู้จักกันดีว่า การรักษาฝ้าให้หายขาด เป็นเรื่องที่ยากและใช้เวลานานพอสมควร แน�
��ทางการรักษาในปัจจุบัน นอกจากการใช้ครีมทาเฉพาะที่ การป้องกันโดยใช้ครีมกันแดด
  • ปัจจุบัน ได้มีการนำยารับประทานมารักษาฝ้า เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ซึ่งเชื่อว่าออกฤทธิ์เป็นสาร Antioxidants ที่จะทำหน้าที่ลดการออกซิไดซ์ต่อแสงของเม็ดสีเมลานิน จึงลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลงได้
  • ยารับประทานตัวใหม่ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยอีกตัวหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย สารที่สกัดมาจากเปลือกสนมาริไทม์ของฝรั่งเศส ถือว่าเป็นสาร Antioxidants ที่ทำให้ฝ้าจางลงได้ เชื่อว่ามีความแรงกว่าการรับประทานวิตามินซี ถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามินเอ ถึง 50 เท่า โดยได้ทำการวิจัยกับคนไข้ดังนี้
  • ได้นำคนไข้ฝ้าผู้หญิง จำนวน 30 คน อายุประมาณ 29-59 ปี ( อายุเฉลี่ย 41 ปี) และมีปัญหาเรื่องฝ้าโดยเฉลี่ย 8 ปี รับประทานยาที่สกัดจากเปลือกสนดังกล่าว ขนาด 25 มก. วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือน แล้วนำมาวัดผล ด้วยการซักประวัติ ว่าดีขึ้นหรือแย่ลง หรือเหมือนเดิม และได้ทำการวัดระดับความเข้มของฝ้า ผลการทดลองมีดังนี้ 
    ผลลัพธ์ ได้ผลดีมาก ได้ผลดี ไม่ได้ผล ได้ผลรวม
    จำนวนคน 7 17 6 24
    % 22.23 % 56.57 % 20 % 80%

    โดยเกณฑ์การพิจารณาประสิทธิภาพของการรักษา 
        - กรณีได้ผลดีมาก คือ ขนาดความเข้มของฝ้าลดลง 2 หน่วย หรือ ขนาดพื้นที่ของฝ้าลดลง 1 ใน 3 ส่วน และไม่มีฝ้าเกิดใหม่ 
        - กรณีที่ได้ผลดี คือ ขนาดความเข้มของฝ้าลดลง 1หน่วย หรือ ขนาดพื้นที่ของฝ้าลดลง 1 ใน 3 ส่วน และไม่มีฝ้าเกิดใหม่ 
        - กรณีที่ไม่ได้ผล คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งขนาดและความเข้มของฝ้า
  • จากการทดลองดังกล่าว ได้มีการบันทึกผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้ ดังนี้
    อาการที่พบ จำนวน ได้ผลดีมาก ได้ผลดี ไม่ได้ผล ได้ผลรวม
    อ่อนเพลีย 13 3 6 4 69.23 %
    เจ็บหน้าอก/ซี่โครง 10 2 5 3 70 %
    ท้องผูก 13 3 5 5 61.54 %
    ใจร้อน 16 2 7 7 56.52 %

    โดยพบว่าผลการตรวจเลือดและปัสสาวะก่อนและหลังการรับประทานยาดังกล่าว ไม่พบการเปลี่ยนแปลง
  • จากผลงานการวิจัยดังกล่าว ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ถือว่าเป็นแนวทางการรักษาฝ้า ที่ได้ผลในการรักษาในระดับหนึ่ง และมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นพอสมควร เมื่อเทียบกับการรับประทานวิตามินซี หรือ วิตามินอี นอกจากนี้ราคาก็แพงกว่ามาก แต่ก็อยู่ในดุลยพินิจของแต่ละท่านที่จะเลือกรักษาแบบใดนะครับ 
    เรียบเรียงใหม่โดย นพ.จรัสพล รินทระ ................05/05/2004

ที่มา : https://www.clinicneo.co.th/detailcolumn.php?grp=4&sdata=&col_id=40

อัพเดทล่าสุด