สลายไขมัน โทษของไขมัน ไขมัน เกี่ยวอะไรกับ อ้วน ผอม และ เอดส์


1,279 ผู้ชม


สลายไขมัน โทษของไขมัน ไขมัน เกี่ยวอะไรกับ อ้วน ผอม และ เอดส์

 
ข้อเท็จจริงและความลึกลับของไขมัน: อ้วน ผอม และเอดส์

ข้อเท็จจริง


1 เซลล์ไขมัน (adipocyte) มีลักษณะเป็นวงแหวน คือมีก้อนไขมันอยู่ตรงกลาง กินเนื้อที่เกือบทั้งหมดของเซลล์ ผลักให้นิวเคลียสไปอยู่ติดเมมเบรน ทำให้ดูเหมือนว่าเซลล์นี้ว่างเปล่า ทั้งๆที่จริงๆแล้วเต็มไปด้วย triglyceride
2 เซลล์ไขมัน ไม่ได้มีหน้าที่เพียงเก็บไขมันอย่างที่คนส่วนใหญ่คิด มันสามารถหลั่งฮอร์โมน และสารอื่นๆที่อาจเป็นอันตรายต่อ เมตะบอลิซึม และสุขภาพโดยรวมได้
3 ไม่กี่ปีมานี้ นักชีววิทยา เริ่มมองไขมันว่าเป็น อวัยวะในระบบเดียวกับพวกต่อมไร้ท่อ เช่น thyroid และต่อมpituitary เนื่องจากมันสามารถหลั่งสารเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง
ที่ต่างกันคือ เซลล์ไขมันโตได้เหมือนจะไม่มีขีดจำกัด ปริมาณไขมันที่มากไปเปรียบเหมือนยาพิษที่หลั่งสารออกมา ก่อให้เกิดโรค ทั้งเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันสูง หลอดเลือดสมองขาดเลือด หรือแม้แต่มะเร็ง
4 คนผอมมีเซลล์ไขมัน ประมาณ 40พันล้านเซลล์ และคนอ้วนมีมากกว่านี้ 2 ถึง 3 เท่า ไม่ใช่แค่จำนวน แต่ขนาดเซลล์ของคนอ้วนก็โตกว่าด้วย และก็ยังผลิตเพิ่มได้อีกเรื่อยๆ นอกจากนี้เซลล์ไขมันเป็นเซลล์ที่มีอายุยืนมาก

อ้วน


1 ทั่วโลก มีคนเป็นโรคอ้วนมากกว่า หนึ่งพันล้านคน โรคอ้วน และภาวะที่เกี่ยวข้อง คือโรคหัวใจและความดันสูงเป็น 1ใน 10 ความเสี่ยงทางด้านสุขภาพของ WHO
2 ในอเมริกา 65% ของผู้ใหญ่มีน้ำหนักมากเกินพอดี (สิบปีที่แล้ว มี 56%) รัฐบาลเชื่อว่า โรคอ้วนเป็นสาเหตุของการตายอย่างน้อย 300,000 ราย ต่อปี 15% ของเด็กอายุมากกว่าหกปีมีน้ำหนักเกิน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าปี 1980 ถึง 3เท่า
3 มีคนเป็นเบาหวาน type 2 ซึ่งมักมีสาเหตุจากโรคอ้วน สูงขึ้นอย่างมาก ทั้งในอเมริกา และไทย
4 ความอ้วนมีหลายแบบ ขึ้นกับรูปร่าง คนที่อ้วนเหมือนแอปเปิ้ล คือพุงโต จะมีโอกาสเป็นเบาหวาน หรือโรคหัวใจมากกว่าคนที่อ้วนแล้วมีรูปร่างแบบลูกแพร์ ซึ่งแบบหลังนี้เก็บไขมันไว้มากที่สะโพก ขาอ่อน หรือก้น
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การที่จะอ้วนเป็นแบบไหน น่าจะขึ้นกับพันธุกรรม แต่ท้ายที่สุด ถ้าความอ้วนยังไม่หยุดก็จะพุงโตแบบแอปเปิ้ลได้ทุกคน
ผู้หญิงมักอ้วนแบบลูกแพร์ แต่จะเป็นแบบแอปเปิ้ลมากขึ้นหลังหมดประจำเดือน คนเอเชียก็มักเป็นแบบแอปเปิ้ลมากกว่า และรับผลกระทบจากโรคอ้วนได้ง่ายกว่า เช่น ถึงจะอ้วนน้อยกว่าคนขาวแต่ก็มีโอกาสเป็นโรคต่างๆได้มากกว่า
5 คนที่ผอมมากแต่กลับมีพุง ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคจากพุงนี้ได้ ไม่ควรไว้ใจค่า BMI (body mass index) มากเกินไปนัก เพราะค่านี้ใช้แค่ความสูงและน้ำหนักมาคิด ไม่ได้พิจารณารูปร่างสัดส่วนไปด้วย
Dr. Hamdy ผอ. คลีนิกโรคอ้วน จาก Joslin Diabetes Clinic ในบอสตัน กล่าวว่า รอบเอว เป็นค่าที่บอกได้ดีกว่า โดยค่าอันตรายอยู่ที่ มากกว่า 40นิ้วในชาย และ 35นิ้วในหญิง
6 ทำไม พุงโต อันตรายกว่า ก้นโต? 
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สาเหตุอยู่ที่ visceral fat ในพุง (visceral-เกี่ยวกับอวัยวะภายใน) ซึ่งคนอ้วนแบบแอปเปิ้ลจะมีมาก ถ้าอ้วนแบบลูกแพร์จะมี subcutaneous fat มาก (subcutaneous-ใต้ผิวหนัง) 
ยังไม่รู้ว่า ทำไม visceral fat ถึงอันตรายกว่า อาจเป็นเพราะมันมีเมตะบอลิซึมมากกว่า หรือหลั่งสารพิษออกมามากกว่า นอกจากนี้สารที่มันหลั่งออกมาก็เข้าสู่ตับได้โดยตรง ซึ่งอาจจะไปรบกวนหน้าที่ ควบคุมระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลของตับก็ได้
7 ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine เดือนที่แล้ว พบว่า liposuction หรือการดูดไขมัน ซึ่งดูด เฉพาะ subcutaneous fat ออกนั้น ไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแต่อย่างใดเลย ถึงจะดูดออกไปเป็นสิบกิโลก็ตาม ในขณะที่ถ้าเราสามารถลดน้ำหนักได้ขนาดนั้นด้วยการ ออกกำลังกายหรือควบคุมอาหาร จะพบว่าความดัน และคอเลสเตอรอลลดลง การตอบสนองต่ออินซูลินก็ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ถึงแม้จะดูดไขมันออกไปแต่ก็ยังมีเหลืออีกมากในร่างกาย เพราะคนอ้วนมีเซลล์ไขมันขนาดใหญ่กว่าคนผอม ซึ่งเซลล์ขนาดโตเหล่านี้เป็นพิษมากกว่าเซลล์ไขมันที่มีขนาดเล็ก
8 ทางที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก คือออกกำลังกายและควบคุมอาหาร ซึ่งจะช่วยได้ทั้ง กำจัดvisceral fat และลดขนาดของเซลล์ไขมัน ถึงแม้จะลดน้ำหนักได้ไม่มาก แค่ 7% ของน้ำหนักเดิมก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากแล้ว คนที่กำลังลดน้ำหนักจะพบว่า พุงจะยุบก่อน ส่วนสะโพกและขาอ่อนจะลดได้ยากกว่ามาก 

 ผอม และ เอดส์



ผอม
1 อ้วนไปก็เป็นโรค ผอมไปก็เป็นโรคเหมือนกัน คือโรค lipodystrophy เป็นอาการที่ร่างกายขาดไขมันในบางส่วน หรือทุกส่วนของร่างกาย ที่แปลกก็คือผลของการมีไขมันน้อยเกินไปนี้มีอาการเหมือนกับการมีไขมันมากเกินไป
ขณะนี้ lipodystrophy ยังไม่ได้มีการศึกษามากนัก แต่คาดว่าความเข้าใจในโรคนี้จะช่วยให้เราเข้าใจโรคอ้วน มากขึ้น และอาจตอบคำถามที่ว่า ทำไมแต่ละคนถึงมีรูปร่างแตกต่างกันไป
2 พบคนเป็น lipodystrophy ครั้งแรกปี 1885 ในเด็กหญิงที่เริ่มมีไขมันลดลงตอนอายุ 5ขวบ เมื่อ12 ขวบ หน้าของเด็กก็ผอมเหี่ยวแห้งเหมือนคนแก่
3 สาเหตุของโรคส่วนหนึ่งมากจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุม enzyme ที่สร้างเซลล์ไขมัน สังเกตได้จากจะเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆชัดเจนในเด็กที่เกิดใหม่ เด็กเหล่านี้จะกินเก่งมาก แต่ไม่สามารถสะสมไขมันได้เลยแม้แต่นิดเดียว อีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ไขมันของตัวเอง ซึ่งบางครั้งไขมันจะหายไปเฉพาะร่างกายส่วนบน แต่ส่วนล่างยังปกติ 
ทำไมร่างกายเลือกทำลายไขมันเฉพาะส่วน อาจเป็นคำถามเดียวกับที่คนลดน้ำหนักจำนวนมากถามตัวเอง ว่า ทำไมทั้งๆที่น้ำหนักลดแล้ว แต่ร่างกายยังดูไม่สมส่วน 
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เป็นเพราะเซลล์ไขมันในแต่ละส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ที่คอ ที่แขน ที่น่อง มี activity metabolisim และการ express genes ต่างกัน
4 เช่นเดียวกับคนอ้วน คนที่เป็น lipodystrophy มีโรคมากมายติดตัว เช่น ร่างกายจะไม่ตอบสนองต่อ insulin (หนึ่งในหน้าที่ของมันคือ สะสมไขมันในร่างกาย) ส่งผลให้เป็นเบาหวานอย่างรุนแรง การขาดไขมันห่อหุ้มตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้ไขมันในเลือด ที่มาจากอาหาร ไม่มีที่ไป จึงถูกขังอยู่ในนั้น หรือถูกส่งไปที่ตับ การมีไขมันและน้ำตาลมากๆในเส้นเลือดจึงทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากเหมือนคนอ้วน
เอดส์
1 สมัยก่อนพบคนเป็น lipodystrophy เพียงไม่กี่ร้อยรายทั่วโลก แต่ตอนนี้พบมากขึ้นเนื่องจากเป็นผลข้างเคียงของยารักษาโรคเอดส์
2 ลักษณะที่มักพบในผู้ป่วยโรคเอดส์ที่เป็น lipodystrophy คือ ไขมันที่หน้า คอ แขน ขา หายไป แต่บางครั้งก็อาจสะสมได้เหมือนกัน ที่บริเวณคอ ลำตัว ท้อง ดังนั้นคนไข้จึงอาจดูเหมือนโครงกระดูกเดินได้ หรืออีกแบบคือ พุงยื่นแต่หน้าตูบ แขนขาลีบ ซึ่งเหมือนคนไข้ระยะสุดท้าย ทั้งๆที่การควบคุม HIV เป็นไปด้วยดี
3 ประมาณว่า ผู้ติดเชื้อ 50% มีอาการ lipodystrophy โดยรายที่อาการหนักสุดคือรายที่ควบคุม HIV ได้ดีที่สุด ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เป็นที่ทราบดีว่า ยามีผลต่อ metabolism ของร่างกายแน่นอน ยารักษาโรคเอดส์ ซึ่งเป็น protease inhibitors มีผลรบกวนการทำงานของอินซูลิน นอกจากนี้ยาบางตัวก็ดูเหมือนจะยังยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ไขมัน และอาจก่อให้เกิดการตายของเซลล์ไขมันในอัตราที่รวดเร็ว

แหล่งที่มา : vcharkarn.com

อัพเดทล่าสุด