เลือดกำเดาไหลเกิดจาก เลือดกำเดาไหลไม่หยุด วิธีรักษาเลือดกำเดาไหล


14,579 ผู้ชม


เลือดกำเดาไหลเกิดจาก เลือดกำเดาไหลไม่หยุด วิธีรักษาเลือดกำเดาไหล

               เลือดกำเดาไหลเกิดจาก

เลือดกำเดามาจากไหน?

ถึงแม้อุณหภูมิในหน้าร้อนจะสูงขึ้นสักเพียงไหน ก็ไม่เคยมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความซนของเจ้าตัวแสบได้แม้แต่น้อย แต่…อ้าว! พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวเล็กก็ร้องไห้จ้า เพราะตกใจที่จู่ๆ ก็มีเลือดไหลออกจากจมูก  คุณแม่ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตามลูกไปนะคะ เพราะหน้าร้อนแบบนี้ เด็กๆ เขาก็อาจมีเลือดกำเดาไหลกันได้บ้าง

สาเหตุที่เลือดกำเดาไหล

• ในเด็กผนังเยื่อบุโพรงจมูกจะบาง เมื่อเล่นกลางแจ้งนานๆ อุณหภูมิในร่างกายลูกจะสูงขึ้น เส้นเลือดฝอยเล็กๆ อาจเกิดการฉีกขาดทำให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหลได้

• เกิดการกระทบกระเทือน เช่น วิ่งชน หกล้ม หรือแม้แต่การแคะแกะเกาจมูกของเจ้าตัวเล็ก ก็อาจทำให้เลือดกำเดาไหลได้

• ร่างกายขาดวิตามินซี ก็อาจทำให้เลือดกำเดาออกง่ายได้

• อาการป่วยจากระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด ทางเดินหายใจอักเสบ ไซนัสอักเสบ ที่ต้องรักษาตามอาการ

• ถ้าเลือดกำเดาไหล พร้อมกับมีอาการเลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจ้ำๆ ตามตัว ควรพาไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นโรคเลือด เช่น ลูคีเมีย

วิธีปฐมพยาบาล

• โดยทั่วไปเลือดกำเดาจะหยุดไหลได้เองภายในไม่เกิน 5 นาที ซึ่งคุณแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการให้ลูกได้โดยใช้กระดาษชำระม้วนเป็นแท่ง เล็กๆ อุดในรูจมูก ให้ลูกนั่งตัวตรงศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ และหายใจทางปาก

• หาผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณจมูก เพื่อทำให้เลือดแข็งตัว หยุดไหลเร็วขึ้น และส่วนหนึ่งช่วยลดอุณหภูมิร้อนในร่างกาย

ป้องกันไว้ก่อน

• หลีกเลี่ยงการพาลูกไปวิ่งเล่นกลางแจ้งนานๆ เมื่ออากาศร้อนจัด ก็แวะพักในร่มหรือตามใต้ต้นไม้บ้าง อุณหภูมิในร่างกายจะได้ไม่สูงมาก เพราะอากาศร้อน นอกจากจะทำให้เลือดกำเดาไหลได้แล้ว ลูกอาจเป็นไข้ได้

• อย่าให้ลูกแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรงๆ

• เสริมอาหารวิตามินซีสูง อาจนำมาประยุกต์เป็นเครื่องดื่มผลไม้ปั่น เช่น น้ำส้มปั่น สับปะรดปั่น หรือเต้าฮวยฟรุตสลัด ให้ลูกเป็นของว่างสำหรับหน้าร้อนนี้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Tags:

        Link   https://women.kapook.com/baby00341/

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                 เลือดกำเดาไหลไม่หยุด

เลือดกำเดาไหล คือ ภาวะที่มีเลือดออกทางจมูกทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง เกิดจากเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกและบริเวณใกล้เคียงฉีกขาด ภาวะนี้พบได้ทุกอายุ และเพศหญิงพบใกล้เคียงกับเพศชาย

อาการ

เลือดกำเดาไหล แบ่งได้เป็น 2 ชนิด ตามตำแหน่งที่หลอดเลือดฉีกขาด คือ

  1. เลือดออกทางส่วนหน้าของจมูก (Anterior epistaxis) : พบได้ 90 % ของเลือดกำเดาไหลทั้งหมด เกิดจากการฉีกขาดของเส้นเลือดบริเวณด้านหน้าของผนังกั้นช่องจมูก มักพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อย ส่วนใหญ่เกิดจากการแคะจมูก ผู้ป่วยจะมีอาการ คือ มีเลือดสด ๆ ไหลออกทางรูจมูกข้างเดียวหรือสองข้าง ถ้าเลือดออกมาก อาจมีเลือดบางส่วนไหลลงคอได้ (แยกจากภาวะเลือดออกจากส่วนหลังของจมูกได้โดย ในท่านั่งจะสังเกตว่า มีเลือดไหลออกทางจมูกมากกว่าไหลลงคอ) ภาวะนี้พบได้บ่อย แต่ไม่รุนแรง เพราะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อย และสามารถห้ามเลือดได้ง่าย
  2. เลือดออกจากส่วนหลังของจมูก (Posterior epistaxis) : พบได้ 10 % ของเลือดกำเดาไหลทั้งหมด เกิดจากการฉีกขาดของเส้นเลือดบริเวณที่อยู่ลึกเข้าไปในโพรงจมูก มักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งมักมีสาเหตุจากความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดแดงแข็งตัว ในกลุ่มนี้เลือดจะไหลออกมาเองโดยไม่มีปัจจัยนำมาก่อน ผู้ป่วยจะมีอาการ คือ รู้สึกว่ามีเลือดไหลลงไปในคอ แต่ถ้าเลือดออกมาก อาจมีเลือดบางส่วนไหลออกทางรูจมูกได้ ภาวะนี้พบได้น้อยกว่าแต่รุนแรงกว่า (เลือดออกปริมาณมากกว่าและห้ามเลือดได้ยากกว่าเลือดออกทางส่วนหน้าของจมูก)

ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ ในกรณีที่
  • มีเลือดกำเดาออกติดต่อกัน นานมากกว่า 20 นาที
  • เกิดเลือดกำเดาไหล ตามหลังอุบัติเหตุบริเวณศีรษะ (อาจมีการแตกของฐานกระโหลกศีรษะ) และใบหน้า (อาจมีจมูกหัก)

สาเหตุ

  1. เกิดจากสาเหตุเฉพาะที่ในจมูก (Local condition) :
    • การระคายเคืองหรือบาดเจ็บต่อเยื่อบุจมูก ได้แก่ การแคะจมูก (ผู้ที่มีนิสัยชอบแคะจมูก จะมีน้ำมูกแห้งกรัง เมื่อแคะออกจะเกิดแผลถลอก จึงมีเลือดออกตามมา), การสั่งน้ำมูกแรง ๆ, การเปลี่ยนแปลงความกดอากาศอย่างรวดเร็ว เช่น ระหว่างขึ้นเครื่องบินหรือการดำน้ำ , การได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะและใบหน้า แล้วกระแทกโดนที่จมูกโดยตรงหรือโดนที่โพรงไซนัสซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ทำให้มีเลือดออกได้, มีสิ่งแปลกปลอมในรูจมูก
    • การอักเสบและติดเชื้อที่บริเวณโพรงจมูก เช่น โพรงจมูกอักเสบจากโรคภูมิแพ้หรือโรคหวัด จะทำให้มีเลือดมาเลี้ยงโพรงจมูกมากขึ้น จึงมีเลือดคั่งที่เยื่อบุจมูกและเยื่อบุโพรงอากาศข้างจมูก ถ้าสั่งน้ำมูกหรือจามรุนแรง อาจทำให้เลือดกำเดาไหลหรือมีน้ำมูกปนเลือด
    • ภาวะอากาศหนาว ความชื้นต่ำ : ทำให้เยื่อบุจมูกแห้ง มีแนวโน้มที่จะทำให้เลือดออกได้ง่าย
    • ผนังกั้นช่องจมูกคด : ผนังกั้นช่องจมูกมีการโค้งงอหรือเป็นสันแหลม ทำให้โพรงจมูกข้างนั้นมีพื้นที่แคบลง ลมหายใจหรืออากาศที่ผ่านเข้า-ออกจึงมากและเร็วกว่า ทำให้เยื่อบุจมูกแห้งมาก ทำให้เกิดสะเก็ดและมีเลือดออกได้ง่าย
    • เนื้องอกในจมูกหรือโพรงอากาศข้างจมูก : ทั้งชนิดเนื้อร้ายและเนื้อดี ก็อาจทำให้มีเลือดกำเดาไหลได้เช่นกัน
  2. เกิดจากสาเหตุทั่วไป (Secondary systemic condition) : เกิดจากโรคทางระบบอื่น ๆ เช่น
    • โรคความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดแดงแข็งตัว (Atherosclerosis)
    • โรคเลือดที่ทำให้เลือดออกง่าย : เช่น การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ, การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด, โรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดทั่วร่างกาย, ขาดวิตามินเค เป็นต้น ในกลุ่มนี้ ผู้ป่วยมักมีเลือดออกผิดปกติที่บริเวณอื่นร่วมด้วย เช่น เลือดออกตามไรฟันหรือมีจุดเลือดออกตามตัว เป็นต้น
    • มีการคั่งของเส้นเลือดดำ เช่น โรคตับแข็ง , โรคหัวใจ เป็นต้น
  3. ไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic or spontaneous epistaxis) : จากการตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมโดยละเอียดแล้ว ไม่พบความผิดปกติที่น่าจะเป็นสาเหตุของเลือดกำเดาไหล

การวินิจฉัย

  1. การซักประวัติ เพื่อ
    • ประเมินความรุนแรงของการเสียเลือด = ปริมาณเลือดที่ออกในแต่ละครั้งและจำนวนครั้งที่เลือดออก
    • หาสาเหตุของเลือดกำเดาไหล เช่น การแคะจมูก, เป็นหวัด, มีโรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ, ประวัติได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะและใบหน้า, ยาที่ผู้ป่วยใช้เป็นประจำ, มีเลือดออกผิดปกติที่อื่นร่วมด้วย เป็นต้น
  2. การตรวจร่างกาย
    • ตรวจดูค่าสัญญาณชีพ เพื่อประเมินสภาวะทั่วไปของผู้ป่วยและเตรียมการช่วยเหลือ
    • ตรวจภายในโพรงจมูกด้วยไฟฉาย เพื่อหาตำแหน่งที่มีเลือดออก
    • ตรวจร่างกายระบบอื่น เพื่อหาว่ามีเลือดออกผิดปกติที่อื่นร่วมด้วยหรือไม่ และตรวจร่างกายหาโรคที่อาจเป็นสาเหตุของเลือดกำเดาไหล เช่น ตับแข็ง
  3. การส่งตรวจเพิ่มเติม
    • ตรวจเลือดหาความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดและเกร็ดเลือดที่ต่ำผิดปกติ
    • ตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับและไต ในกรณีที่สงสัยว่าเลือดกำเดาไหลจากโรคตับหรือไต
    • ส่องกล้องทางจมูกโดยแพทย์เฉพาะทางหูคอจมูก เพื่อดูว่าเลือดกำเดาที่ไหล ออกมาจากทางด้านหน้าหรือด้านหลังของช่องจมูก
    • การตรวจหาความผิดปกติของเส้นเลือดแดง โดยการใส่สายสวนเข้าไปในเส้นเลือดแดง

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเลือดออกมาก (โดยเฉพาะเลือดออกจากส่วนหลังของจมูก) อาจทำให้เกิดภาวะซีดหรือความดันโลหิตต่ำได้ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย

การรักษาและยา

การดูแลในช่วงที่เลือดกำเดาไหล

  1. ให้การปฐมพยาบาลขั้นต้น
    • ให้ผู้ป่วยก้มหน้าลง แล้วใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือบีบที่ปีกจมูกทั้งสองข้างให้แน่น เป็นเวลานาน 5–10 นาที ในขณะที่หายใจทางปากแทน วิธีนี้จะช่วยห้ามเลือดกำเดาชนิดเลือดออกทางส่วนหน้าของจมูกได้ดี
    • นั่งและโน้มตัวมาข้างหน้า เพื่อลดความดันของหลอดเลือดดำในโพรงจมูก จะช่วยให้เลือดออกน้อยลง และช่วยป้องกันการกลืนเลือดลงคอ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้
    • นำน้ำแข็งหรือ coldpack มาประคบบริเวณหน้าผากหรือคอ เพื่อให้เลือดหยุด การประคบน้ำแข็งควรประคบนานประมาณ 10 นาที แล้วจึงเอาออกประมาณ 10 นาที แล้วค่อยประคบใหม่เป็นเวลา10 นาที ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ
  2. ถ้าเลือดออกไม่หยุดหรือออกมากผิดปกติ ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อปรึกษาแพทย์ทันที แพทย์จะรักษาโดย
    • ทำการห้ามเลือด ด้วยวิธีใส่วัสดุห้ามเลือดในจมูก, จี้บริเวณที่เลือดออกด้วยสารเคมีหรือไฟฟ้า, การผ่าตัดผูกหลอดเลือดแดง เป็นต้น เพื่อให้เลือดหยุด
    • บางรายที่เลือดออกมากจนความดันโลหิตต่ำ อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ หรือรายที่ซีด อาจจำเป็นต้องได้รับเลือด
    • หาสาเหตุที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหล แล้วรักษาตามสาเหตุนั้น เพื่อให้เลือดหยุดไหลและป้องกันการกลับเป็นซ้ำอีก เช่น การปรับลดขนาดยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  3. แม้เลือดหยุดได้เอง แต่ถ้าเกิดขึ้นซ้ำบ่อยๆ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ
    • การดูแลภายหลังจากที่เลือดกำเดาหยุดไหลแล้ว : เพื่อป้องกันเลือดออกซ้ำ
    • ภายใน 24-48 ชั่วโมงแรก หลังเลือดกำเดาไหล ควรหลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ, การแคะจมูก, การกระทบกระเทือนบริเวณจมูก, การออกแรงมาก, การเล่นกีฬาที่หักโหมหรือยกของหนัก เพราะอาจทำให้มีเลือดออกซ้ำได้
    • นอนพัก ยกศีรษะให้สูงกว่าระดับหัวใจ

แหล่งอ้างอิง

  1. www.mayoclinic.com
  2. สุภาวดี ประคุณหังสิต และสมยศ คุณจักร. ตำราโสต ศอ นาสิก วิทยา.กรุงเทพฯ : โฮลิสติก พับลิชชิ่ง. พิมพ์ครั้งที่1. 2544 ; 201-211.
  3. Nosebleeds. American Academy of Otolaryngology — Head and Neck Surgery. https://www.entnet.org/HealthInformation/Nosebleeds.cfm. Accessed Oct. 22, 2009.
  4. Nosebleeds. American College of Emergency Physicians. https://www.emergencycareforyou.org/EmergencyManual/WhatToDoInMedicalEmergency/Default.aspx?id=260&terms=nosebleeds. Accessed Oct. 22, 2009.

             Link   https://healthy.in.th/disease/epistaxis/

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

          วิธีรักษาเลือดกำเดาไหล

เลือดกำเดาไหล

ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา  
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

       เลือดกำเดาไหล   คือภาวะที่มีเลือดออกทางจมูก เกิดจากเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกแตก ทำให้มีเลือดไหลออกข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ อาจเกิดจากส่วนหน้าหรือส่วนหลังของจมูก พบได้ทุกอายุทั้งเพศหญิงและชาย เลือดออกทางส่วนหน้าของจมูกมักพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุน้อย เลือดออกจาก ส่วนหลังมักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งมักมีสาเหตุจากความดันโลหิตสูง

สาเหตุที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหล
     1. จากการระคายเคืองหรือบาดเจ็บต่อเยื่อบุจมูก ได้แก่ การแคะจมูก ผู้ที่มีนิสัยชอบแคะจมูกจะมีน้ำมูกแห้งกรัง เมื่อแคะออกจะเกิดแผลถลอก การสั่งน้ำมูกแรง ๆ  หรือการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศอย่างเร็ว เช่นระหว่างขึ้นเครื่องบินหรือการดำน้ำ อาจมีผลให้เกิดเลือดออกในโพรงอากาศข้างจมูกและมีเลือดกำเดาไหล   นอกจากนี้ยังเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะและใบหน้า อาจโดนที่จมูกโดยตรงหรือโพรงไซนัส ทำให้มีเลือดออกได้
     2. การอักเสบในช่องจมูก ได้แก่ ภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน หรือโรคแพ้อากาศ ซึ่งมีเลือดคั่งที่เยื่อบุจมูกและเยื่อบุโพรงอากาศข้างจมูก ถ้ามีการสั่งน้ำมูก อาจทำให้เลือดกำเดาไหล   มีน้ำมูกปนเลือด  ส่วนภาวะอากาศหนาว ความชื้นต่ำ จะทำให้เยื่อบุจมูกแห้ง มีแนวโน้มที่จะทำให้เลือดออกได้ง่าย
     3. การผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูก มีการโค้งงอหรือเป็นสันแหลม ทำให้มีน้ำมูกแห้งกรัง เมื่อแคะจะมีเลือดออกได้
     4. เนื้องอกในจมูกหรือโพรงอากาศข้างจมูก ทั้งชนิดร้ายและไม่ร้าย ก็อาจทำให้มีเลือดกำเดาไหลได้เช่นกัน
     5. โรคทางระบบอื่น ๆ ได้แก่ โรคเลือดที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ, การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด , โรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดทั่วร่างกาย หรือความดันโลหิตสูง ทำให้เส้นเลือดแตกได้

การรักษา
       ขั้นต้นให้ผู้ป่วยเงยหน้าหรือก้มหน้าลง ใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือบีบปีกจมูกทั้งสองข้างให้แน่นเป็นเวลา 5 – 10 นาที ให้หายใจทางปากแทน  อาจวางผ้าเย็นหรือถุงน้ำแข็งบนดั้งจมูกด้วยก็ได้  ถ้าเลือดไม่หยุดไหลควรรีบมาพบแพทย์  อาจต้องทำการห้ามเลือดด้วยวิธีจี้บริเวณที่เลือดออกด้วยสารเคมีหรือไฟฟ้า , การใส่วัสดุห้ามเลือดในจมูก หรือการผูกหลอดเลือดแดง เพื่อให้เลือดหยุด และหาสาเหตุ แล้วรักษาตามสาเหตุนั้น ๆ เช่น 
 
 1. สาเหตุที่เกิดจากการระคายเคืองหรือบาดเจ็บต่อเยื่อบุจมูก ควรหลีกเลี่ยงการแคะจมูก หรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ  และ ถ้ามีการอักเสบของโพรงไซนัสหรือแพ้อากาศก็รักษาโรคนั้น
 2. ถ้ามีความดันโลหิตสูง ก็ต้องควบคุมความดันให้ปกติ
 3. ถ้ามีความผิดปกติของผนังกั้นช่องจมูก หรือเป็นริดสีดวงจมูก หรือเป็นก้อนเนื้องอก อาจรักษาด้วยการผ่าตัด
 4. ถ้ามีตับม้ามโตหรือจุดจ้ำเลือดออก ต้องตรวจหาความผิดปกติและรักษาทางโรคเลือด
 5. ถ้ารับประทานยาที่อาจทำให้เลือดหยุดยาก  เช่น แอสไพริน  ควรแจ้งแพทย์ทราบด้วย 

       คำแนะนำ  ควรมาพบแพทย์เมื่อ เลือดกำเดาไหลไม่หยุด หรือ มีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ

         Link    https://www.zazana.com/Health-/id617.aspx

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อัพเดทล่าสุด