โรคเกี่ยวกับรังไข่ โรครังไข่บิดตัวไม่กลับ


2,113 ผู้ชม


โรคเกี่ยวกับรังไข่ โรครังไข่บิดตัวไม่กลับ

โรคเกี่ยวกับรังไข่

มะเร็งรังไข่ - Cancer of Ovary 
 
 
 
ข้อมูล สถาบันมะเร็งแห่งชาติ


มะเร็งรังไข่เป็นมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับ 2 ของ มะเร็งระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรีพบ ได้มากในช่วงอายุ 40-60 ปีในเด็กก่อนหรือหลังวัย 10 ปีก็อาจพบได้ 
เนื่องจากธรรมชาติของโรค โตและกระจายรวดเร็วในช่องท้อง สังเกตุได้ยากผู้ป่วยมักมาพบแพทย์เมื่อมี
อาการมากแล้ว 
เป็นมะเร็งที่พบบ่อย ในหญิง แต่เป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับแรกของโรคมะเร็งของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
สตรี ทั้งนี้ เนื่องจากธรรมชาติของโรคที่สามารถโตและกระจายได้อย่างรวดเร็วในช่องท้อง และเป็นตำแหน่ง
ที่สังเกตได้ ยาก ผู้ป่วยจึงมักมาพบแพทย์ในระยะที่เป็นมากแล้ว
สาเหตุ 
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบเหตุส่งเสริม ที่ทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ ดังนี้ คือ 
1.สภาพแวดล้อม เช่น สารเคมี อาหาร เนื่องจากพบว่าในประเทศ อุตสาหกรรมมีผู้ป่วยเป็น มะเร็งรังไข่
   มากกว่าประเทศเกษตรกรรม 
2.สตรีที่ไม่มีบุตร หรือมีบุตรน้อย 
3.ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งที่เต้านม มะเร็ง มดลูก และมะเร็งระบบทางเดิน อาหาร โอกาสเป็น มะเร็งรังไข่มี  
    มากกว่าคนปกติ 
# สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด มักพบในหญิงไม่มีบุตร หรือมีบุตรน้อย เคยเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก  และมะเร็งลำไส้ใหญ่ รับประทานอาหารไขมันสูงเป็นประจำ เคยใช้ยากระตุ้นการทำงานของรังไข่เพื่อให้มีบุตร 
อาการ
1. อาจไม่มีอาการ แพทย์ตรวจพบโดยบังเอิญ 
2. มีอาการท้องอืดเป็นประจำ 
3. มีก้อนในท้องน้อย 
4. ปวด แน่นท้อง และถ้าก้อนมะเร็งโตมากจะกด กระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ส่วนปลาย ทำให้ ถ่ายปัสสาวะ
    หรืออุจจาระลำบาก 
5. ในระยะท้ายๆอาจมีน้ำในช่องท้องทำให้ท้องโต ขึ้นกว่าเดิม เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด 
อาการและอาการแสดง ในระยะเริ่มแรกอาการไม่แน่นอน ปวดท้อง แน่นท้อง น้ำหนักลด เบื่ออาหาร คลำพบก้อนในท้อง หรือในอุ้งเชิงกราน เมื่อก้อนโตขึ้นกดเบียดกะเพาะปัสสาวะก็จะทำให้ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด ถ้าก้อนไปกดลำไส้ใหญ่ส่วนปลายทำให้ปวดถ่วงและถ่ายอุจจาระลำบาก เมื่อมีการกระจายตัว
ของเซลล์มะเร็งในช่องท้องก็จะมีนำในท้อง ประจำเดือนผิดปกติ 

การวินิจฉัย 
1. การตรวจภายในอาจคลำพบก้อนใน บริเวณท้องน้อย การคลำพบก้อนรังไข่ได้ในสตรีวัย หมดประจำเดือน 
    ควรนึกถึงมะเร็งของรังไข่ไว้ด้วย (เพราะตามปกติวัยหมดประจำเดือน รังไข่จะฝ่อ) 
2. การทำแพพสเมียร์จากในช่องคลอด ส่วนบนทางด้านหลัง อาจพบเซลล์มะเร็งของรังไข่ ได้ 
3.การตรวจด้วยเครื่องความถี่สูงอาจช่วยบอกได้ว่ามีก้อนในท้อง ในรายที่อ้วนหรือหน้าท้อง หนามาก 
    คลำด้วยมือตาม ปกติตรวจไม่พบ 
4. การผ่าตัดเปิดช่องท้อง และตรวจดู เป็นวิธีที่สำคัญ และแม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยโรค อย่างแน่นอน
    สามารถ ขลิบหรือตัดเอาเนื้อมาตรวจหาชนิดของมะเร็ง และทราบถึงระยะ ของโรค ด้วย 
5. การวินิจฉัย การตรวจภายใน เอ็กซเรย์หรือ ULTRASOUND หากพบก้อนที่น่าสงสัย ควรทำผ่าตัด
    ทุกราย เพื่อนำก้อนเนื้อไปพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา 
การรักษา 
การผ่าตัดเป็นวิธีแรกที่แพทย์จะเลือกทำการ รักษา ถ้าไม่สามารถตัดออกได้หมดเนื่องจาก โรคกระจายออกไปมากแล้ว แพทย์จะพยายาม ตัดออกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจะให้ การรักษาต่อด้วยเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด 
การรักษา โดยการผ่าตัดเป็นหลัก ปัจจุบันผลการรักษาอยู่ในเกณฑ์ดีแม้เป็นระยะลุกลามก็สามารถควบคุมโรค
ได้ระยะเวลานาน ผลการรักษาขึ้นกับระยะของโรค 
ดังนั้นการตรวจพบระยะแรก ๆ เท่านั้นจึงจะรักษาให้หายได้ ข้อควรปฏิบัติ ตรวจภายในปีละครั้งหลังอายุ 
40 ปี สังเกตุอาการผิดปกติ ความผิดปกติของประจำเดือน เช่น เริ่มขาดประจำเดือนก่อนวัยอันควร มีเลือด
ออกผิดปกติ ปวดท้องน้อยควรพบแพทย์ทันที
การป้องกัน 
เนื่องจากมะเร็งรังไข่ในระยะแรก ๆ มักจะไม่มีอาการ อีกทั้งยังไม่ทราบสาเหตุที่ แท้จริง การป้องกันจึงทำได้ยาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ รับการตรวจภายในหรือตรวจด้วยคลื่นความ ถี่สูง โดยแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง 
ข้อควรปฏิบัติ
1. ควรได้รับการตรวจภายในปีละครั้ง หลังอายุ 40 ปี 
2. หากมีความผิดปกติของประจำเดือน เช่น ขาดประจำเดือนก่อนวัยอันควร การมีเลือดออกผิดปกติ ปวด 
    ท้องน้อย หรือสงสัยมีก้อนบริเวณท้องน้อย ควรพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจภายใน 

 
  ยาเคมีบำบัด / สารกัมมันตรังสี      


เป็นยาหรือสารเคมีที่ใข้ในการรักษามะเร็ง อาจให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอย่างเดียว หรือให้ร่วมกับการ
รักษาวิธีอื่น ยาเคมีบำบัดเมื่อให้เข้าสู่ร่างกายจะไปทำลายเซลมะเร็ง เเละทำลายเซลปกติบางส่วน ด้วย
ทำให้เกิดอาการข้างเคียงขึ้น 
ยาเคมีบำบัดจะเข้าไปขัดขวางขบวนการเจริญเติบโตของวงจรชีวิตเซลล์ทำให้ เซลล์ตาย 
ยาแต่ละตัวออกฤทธิ์แตกต่างกันในการรักษา บางแผนการรักษาประกอบด้วยยาหลายชนิด ที่ให้ร่วมกัน 
อาการข้างเคียง ยาเคมีบำบัดมีผลกระทบต่อเซลล์ปกติด้วย โดยเฉพาะเซลล์ที่มีการเจริญ และแบ่งตัว
อย่างรวดเร็ว เช่น เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร, เส้นผม, เม็ดเลือด ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุของอาการข้างเคียง
หรืออาการไม่พึงประสงค์ระยะหนึ่งในระหว่างการ ให้ยาแต่ละชุด เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาสร้างเซลล์ปกติ
ขึ้นมาทดแทน 
อาการไม่พึงประสงค์ที่ต้องปรึกษาแพทย์ 
1. มีเลือดออกหรือเป็นแผลในปากมาก 
2. มีผื่นหรืออาการแพ้ 
3. มีไข้ หนาวสั่น 
4. ปวดมากบริเวณที่ฉีด 
5. หายใจลำบาก 
6. ท้องเดินหรือท้องผูกอย่างรุนแรง 
7. ปัสสาวะหรืออุจจาระมีเลือดปน 
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อย 
1. คลื่นไส้อาเจียน 
2. ผมร่วง 
3. แผลในปาก 
4. ปริมาณเม็ดเลือดลดลง 
อย่างไรก็ตาม อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นจะหายไปเมื่อสิ้นสุดการให้ยาเคมีบำบัด ซึ่ง อาการไม่พึง
ประสงค์จะขึ้นกับชนิดของยาเคมีบำบัดที่ได้รับ และปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาของร่างกายผู้ได้รับยาเคมีบำบัด
นั้น ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ ที่จะเกิด ขึ้นจากการได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการให้น้อยลง
หรืออาจพิจารณาปรับแผนการรักษา ถ้าเกิด มีอาการรุนแรง อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดไม่ได้หมายความว่า อาการของโรคมะเร็งเป็นมาก ขึ้น และความรุนแรงของอาการไม่พึงประสงค์ก็ไม่มีความสัมพันธ์กับผลของ
ยาเคมีบำบัดต่อ เซลล์มะเร็ง 
สารกัมมันตรังสี คือ ธาตุที่มีการสลายตัวปล่อยรังสี ซึ่งเป็นพลังงานรูปหนึ่งออกจากตัวเองตลอดเวลา จนกว่า
จะหมดอายุ โดยมีครึ่งอายุเฉพาะตัวต่าง ๆ กัน ตัวอย่างเช่น ไอโอดีน-131 มีครึ่งอายุ 8 วัน เมื่อนำมาเก็บ
เป็นเวลา 40วัน จะเหลือพลังงานเพียง 3 % เท่านั้น สารบางตัวมีครึ่งอายุค่อนข้างนาน เช่น โคบอลท์-60 มีครึ่งอายุ 5.2 ปี,ถ้าต้องการให้เหลือพลังงาน 3% ต้องเก็บนานถึง 25 ปี ส่วนแร่ซีเซียม-137 มีครึ่งอายุ 
30 ปี ต้องใช้เวลานานถึง 150 ปี จึงจะเหลือพลังงาน 3 % 
สารกัมมันตรังสีบางชนิดมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่น แร่เรเดียม-226,ยูเรเนียม-238 ฯลฯ 
แต่ที่มีใช้ในวงการแพทย์ปัจจุบันเป็นสารที่มนุษย์ผลิตขึ้น เช่น โคบอลท์-60, ซีเซียม-137, อิริเดียม-192 เป็นต้น 
ผลกระทบของรังสีต่อสุขภาพ
ถ้าร่างกายได้รับรังสี เนื้อเยื่อของอวัยวะที่เซลล์แบ่งตัวเร็ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือถูกทำลายขึ้นอยู่
กับปริมาณรังสีที่ได้รับ เช่น ที่ผิวหนัง เยื่อบุในช่องปาก โดยเฉพาะที่ไขกระดูก 
อาการที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากได้รับกัมมันตรังสีโดยไม่มีการควบคุม 
คลื่นไส้ อาเจียน 
อ่อนเพลีย 
เม็ดเลือดขาวถูกทำลายอย่างรุนแรง 
ระบบการสร้างโลหิตจากที่ไขกระดูกบกพร่อง 
ร่างกายความต้านทานโรคต่ำ 
เกิดความผิดปกติบริเวณที่ถูกรังสี เช่น ผิวหนังไหม้พุพอง ผมร่วง ปากเปื่อย เป็นต้น 
การป้องกันอันตรายจากสารกัมมันตรังสี 
ใช้ตัวกลางที่มีความหนาแน่นสูง เช่น ตะกั่ว หรือกำแพงคอนกรีตหนา ทำเป็นฉากกั้น 
ใช้ระยะทาง ยิ่งอยู่ห่างจากสารกัมมันตรังสีมาก ก็จะได้รับรังสีน้อยลง 
ใช้เวลาน้อยที่สุด ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องอยู่ใกล้หรือสัมผัสกับสารกัมมันตรังสี 

                 Link   https://www.thailabonline.com

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การบิดขั้วของปีกมดลูก

Kamonwan Saphan (กมลวรรณ สาพันธ์) 1

การบิดขั้วของปีกมดลูก

กมลวรรณ สาพันธ์

กลุ่มงานสูติและนรีเวชกรรม  โรงพยาบาลวิเชียรบุรี  ตำบลสระประดู่ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ 67130

Adnexal Torsion

Kamonwan Saphan

Department of  Obstetrics and Gynecology,  Wichianburi Hospital, Wichianburi, Phetchabun 67130 Thailand.

 

คำจำกัดความ 

         เป็น ภาวะที่มีการบิดขั้วของอวัยวะที่อยู่ด้านข้างต่อตัวมดลูกหรือที่เรียกว่า ปีกมดลูก เช่นรังไข่ ท่อนำไข่ หรือพบการบิดที่เกิดร่วมกันของหลายอวัยวะในบริเวณดังกล่าว โดยมักมีการบิดของขั้วได้ตั้งแต่  180 องศาถึง 720 องศา  เฉลี่ยประมาณ  360 องศา  พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของภาวะฉุกเฉินทางเวชปฏิบัตินรีเวชวิทยาและเกือบทั้งหมดเป็นการบิดขั้วที่รังไข่1

 

การบิดขั้วของปีกมดลูก

กมลวรรณ สาพันธ์

กลุ่มงานสูติและนรีเวชกรรม  โรงพยาบาลวิเชียรบุรี  ตำบลสระประดู่ อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ 67130

Adnexal Torsion

Kamonwan Saphan

Department of  Obstetrics and Gynecology,  Wichianburi Hospital, Wichianburi, Phetchabun 67130 Thailand.

 

คำจำกัดความ

         เป็น ภาวะที่มีการบิดขั้วของอวัยวะที่อยู่ด้านข้างต่อตัวมดลูกหรือที่เรียกว่า ปีกมดลูก เช่นรังไข่ ท่อนำไข่ หรือพบการบิดที่เกิดร่วมกันของหลายอวัยวะในบริเวณดังกล่าว โดยมักมีการบิดของขั้วได้ตั้งแต่  180 องศาถึง 720 องศา  เฉลี่ยประมาณ  360 องศา  พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของภาวะฉุกเฉินทางเวชปฏิบัตินรีเวชวิทยาและเกือบทั้งหมดเป็นการบิดขั้วที่รังไข่1

พยาธิกำเนิด

         ยัง ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการเกิดพยาธิสภาพดังกล่าว ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการเกิดภาวะนี้ได้แก่ การมีก้อนที่รังไข่โดยเฉพาะก้อนที่รังไข่ที่ไม่ใช่มะเร็ง (benign or non-neoplastic ovarian tumor)  การบิดขั้วจะพบได้น้อยในสตรีที่พยาธิสภาพของก้อนที่รังไข่เป็นมะเร็ง(ovarian cancer) ก้อนของรังไข่และท่อนำไข่ที่เกิดจากการติดเชื้อ (tuboovarian abscess) และก้อนที่เกิดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (ovarian endometrioma) เนื่องจากมักจะมีพังผืด (adhesion)ในอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย ทำให้ไม่สามารถบิดขั้วได้1-3

         จากการศึกษาของ  Comerci และคณะที่ทำการศึกษาการเกิดการบิดขั้วของเนื้องอกรังไข่ชนิด mature cystic teratomaในสตรีจำนวน 517 รายพบว่า ร้อยละ 3.5 จะมีการบิดขั้วของรังไข่เกิดขึ้นและเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์   ความเสี่ยงของการบิดขั้วจะมากขึ้นในกรณีที่มีการตั้งครรภ์ร่วมด้วย4 จากการศึกษาของ Schmeler และคณะ5 พบว่า ร้อยละ 7.8 ของสตรีตั้งครรภ์ที่มีก้อนที่บริเวณรังไข่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการของการบิดขั้วเป็นอาการเริ่มต้น เชื่อ ว่าน่าจะเกิดจากมดลูกมีการขยายขนาดพ้นอุ้งเชิงกรานเข้าไปในช่องท้อง ทำให้ก้อนที่รังไข่มีพื้นที่โดยรอบมากขึ้น จึงเกิดการบิดขั้วได้ง่าย

         อาการปวดที่เกิดขึ้นภายหลังมีการบิดขั้วเกิดจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองในบริเวณที่เกิดพยาธิ ผลที่เกิดเริ่มแรก  คือ  ทำให้การไหลเวียนของน้ำเหลือง  (lymphatic  drainage)  และเลือดดำ  (venous  flow)  ช้าลงหรือหยุดชะงักทำให้รังไข่และท่อนำไข่ข้างที่บิดขั้วบวมขึ้น  หากผู้ป่วยยังไม่ได้รับการรักษาก็จะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดแดง  (arterial  flow)   ทำให้ช้าลงหรือหยุดชะงัก  เกิดผลตามมา  คือการขาดเลือดแดงไปเลี้ยง  (ischemia)  จนเกิดการตายอย่างสมบูรณ์ (necrosis) ของบริเวณที่เกิดพยาธิสภาพ อย่างไรก็ดีการขาดเลือดแดงไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์  (complete  arterial  obstruction)  อาจจะเป็นไปได้ยากเนื่องจากปีกมดลูกมีเส้นเลือดแดงทั้งจาก  ovarian  และ  uterine  arteries  มาเลี้ยงร่วมด้วย ทำให้แม้มีการบิดของเส้นเลือดแดงเส้นใดเส้นหนึ่งก็ยังคงได้รับเลือดแดงจากเส้นอื่นมาเลี้ยงได้  การที่เห็นด้วยตาเปล่าว่าบริเวณที่เกิดพยาธิสภาพบวมคล้ำและมีจุดเลือดออกน่าจะเป็นผลจากการคั่งของน้ำเหลืองและเลือดดำ  (lymphatic  and  venous  stasis) มากกว่าเป็นปีกมดลูกที่ตายจากการขาดเลือดแดงไปเลี้ยง อย่างไรก็ตาม ภาวะบิดขั้วของปีกมดลูกถือว่าเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียการทำงานของบริเวณที่เกิดพยาธิสภาพไปทั้ง หมดโดยเฉพาะการทำงานของรังไข่1, 3

ลักษณะทางคลินิก

         จะ พบในสตรีวัยเจริญพันธ์ได้บ่อยกว่าสตรีวัยก่อนมีประจำเดือนหรือสตรีที่หมด ประจำเดือนแล้ว ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดที่บริเวณอุ้งเชิงกรานอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่จะมีอาการปวดอยู่ตลอดเวลาภายหลังจากเริ่มมีอาการ (constant pain) อาการปวดอาจจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในระหว่างที่รอการวินิจฉัยและการรักษา ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและมีไข้ร่วมด้วยโดยเฉพาะผู้ป่วย ที่ได้รับการวินิจฉัยล่าช้า  ผู้ป่วยบางรายจะมีประวัติการเริ่มต้นของอาการปวด(pain onset) ที่สัมพันธ์กับกิจกรรมต่างๆเช่น การออกกำลังกาย การกระโดด การยกของ และการมีเพศสัมพันธ์1, 2, 4, 6, 7

การวินิจฉัย

อาการและอาการแสดง

         ลักษณะที่บ่งชี้ (classical signs) ถึงการเกิดการบิดขั้วของปีกมดลูกได้ แก่ อาการปวดท้องน้อยเฉียบพลัน การตรวจพบการอักเสบของเยื่อบุอุ้งเชิงกราน (pelvic peritonitis)และ การตรวจพบก้อนในอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย โดยก้อนที่จะเกิดการบิดขั้วได้ง่ายมักมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5- 10 เซนติเมตร การตรวจภายในพบก้อนที่กดแล้วปวด ก้อนสามารถเคลื่อนไหวไปมาจะช่วยทำให้คิดถึงภาวะนี้มากขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่เคยพบก้อนในอุ้งเชิงกรานมาก่อน อาจจะตรวจพบก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้นภายหลังเกิดการบิดขั้วเนื่องจากการบวมที่เกิด จากการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง1, 6

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

         การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยในการวินิจฉัยและการวินิจฉัยแยกโรคจากภาวะอื่นๆได้แก่ การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงบริเวณอุ้งเชิงกราน(pelvic ultrasonography) โดยจะพบว่าบริเวณที่มีการบิดขั้วจะมีขนาดใหญ่ขึ้น มีความแตกต่างของภาพการสะท้อนของคลื่นเสียง (heterogeneity) มีความทึบของภาพคลื่นเสียงความถี่สูง (gray-scale) มากขึ้นเมื่อเทียบกับข้างที่ปกติ นอกจากนี้อาจจะพบมีการลดลงของการไหลเวียนของเลือดหรือพบมีการไหลเวียนของ เลือดที่มีลักษณะคล้ายน้ำวน (whirlpool sign)ในบริเวณที่เกิดพยาธิสภาพ7-11

การรักษา

         การ บิดขั้วของปีกมดลูกถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางเวชปฏิบัตินรีวิทยาที่ต้องได้รับ การรักษาด้วยการผ่าตัดอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียหน้าที่ ของอวัยวะที่เกิดพยาธิสภาพไปอย่างถาวรโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของรังไข่ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เกิดการบิดขั้วได้บ่อยที่สุด ในอดีตได้แนะนำให้ทำการตัดปีกมดลูกออกทั้งหมด (adnexectomy) โดยตัดในตำแหน่งที่ต่ำกว่าขั้วที่เกิดการบิดโดยไม่คลายออกเพื่อป้องกันไม่ให้ก้อนเลือดขนาดเล็ก (thrombus)ที่อยู่ในบริเวณที่ขาดเลือดมีการแพร่กระจายออกไปที่อวัยวะอื่น  อย่างไรก็ดี มีรายงานการศึกษาที่ติดตามผู้ป่วยที่ได้รับการคลายตำแหน่งที่มีการบิดตัว(detorsion)โดย ไม่ได้รับการตัดปีกมดลูก พบว่าไม่มีการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวแต่อย่างใด นอกจากนี้มากกว่าร้อยละ 90 ของรังไข่ที่เกิดการบิดขั้วก็ยังคงกลับมาทำงานได้ตามปกติภายหลังการรักษา11-14  จากข้อมูลดังกล่าวทำให้แนะนำให้ทำการผ่าตัดเพื่อคลายตำแหน่งที่มีการบิดขั้วเป็นการรักษาหลักโดยทำได้ทั้งการผ่าตัดผ่านทางหน้าท้อง(laparotomy) หรือการผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopy) ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละสถาบัน15, 16  อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวการตัดบริเวณที่เกิดการบิดขั้วโดยเฉพาะรังไข่ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเฉพาะก้อนที่มีพยาธิสภาพ(cystectomy)หรือการตัดรังไข่ออกทั้งหมด (oophorectomy) Dolgin และคณะ17  แนะ นำให้ทำการตัดรังไข่เฉพาะส่วนที่มีพยาธิสภาพเท่านั้น ในกรณีที่ไม่สามารถแยกจากส่วนของรังไข่ปกติได้ แนะนำให้ทำการตัดส่วนที่มีการขาดเลือดออก อย่างไรก็ดีมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแนะนำให้ทำการคลายตำแหน่งที่มีการ บิดขั้วโดยไม่ต้องผ่าตัดรังไข่ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดชนิดใดก็ตามเนื่อง จากระหว่างที่เกิดการบิดขั้วนั้นจะไม่สามารถแยกบริเวณที่มีพยาธิสภาพออกจาก เนื้อรังไข่ปกติได้ การพยายามผ่าตัดอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อเนื้อรังไข่มากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ ประมาณร้อยละ 60 ของรังไข่ที่เกิดการบิดขั้วจะเป็นก้อนที่ไม่ใช่พยาธิสภาพที่ผิดปกติ (functional tumor) ซึ่งจะหายไปได้เอง นอกจากนี้ในรายที่สงสัยว่าจะมีก้อนที่มีพยาธิสภาพ (pathological tumor) ก็แนะนำให้ทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา (biopsy) เท่า นั้น และทำการผ่าตัดอีก 4- 6 สัปดาห์ต่อมาหากผลการตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่าเป็นก้อนที่มีพยาธิสภาพ สำหรับสตรีที่หมดประจำเดือนแล้วแนะนำให้ทำการตัดรังไข่ทั้ง 2 ข้าง6, 7

         เนื่อง จากยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนถึงการผ่าตัดก้อนที่บริเวณรังไข่ออกภายหลังจาก การคลายขั้วที่มีการบิดตัว ข้อมูลของลักษณะทางพยาธิวิทยาจึงเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากในการพิจารณาถึง ทางเลือกในการรักษาและการให้คำแนะนำเพื่อการตัดสินใจแก่ผู้ป่วยที่เกิดการ บิดขั้วของรังไข่ จากการศึกษาของ Eitan และคณะ2 พบว่า สตรีที่หมดประจำเดือนมีความเสี่ยงที่จะพบมะเร็งรังไข่ได้มากกว่าสตรีที่ยัง ไม่หมดประจำเดือน จึงแนะนำให้แพทย์ผู้ทำการรักษาได้นำข้อมูลความเสี่ยงนี้ไปใช้ในการพิจารณา การรักษาและการให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยด้วย    ตาราง ที่ 1 แสดงถึงผลทางพยาธิวิทยาของรังไข่ที่ได้รับการตัดออกมาส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ภายหลังการบิดขั้ว จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มาจากการศึกษาที่มีจำนวนผู้ป่วยที่ค่อนข้างน้อย การศึกษาถึงผลทางพยาธิวิทยาของรังไข่ที่เกิดการบิดขั้วในกลุ่มตัวอย่างที่ มากขึ้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

การกลับเป็นซ้ำและการป้องกัน

         การกลับเป็นซ้ำของการบิดขั้วที่ปีกมดลูกพบได้น้อย โดยการกลับเป็นซ้ำมักจะเกิดในรายที่ไม่มีความผิดปกติของปีกมดลูก (normal adnexa) หรือในรายที่มีก้อนที่ไม่ใช่พยาธิสภาพที่ผิดปกติ (functional tumor)6, 18  การ กลับเป็นซ้ำในรายที่ไม่พบความผิดปกติของปีกมดลูกนั้น เชื่อว่าน่าจะเกิดจากความผิดปกติทางกายวิภาคของอุ้งเชิงกรานและส่วนที่ยึด ติดปีกมดลูกและรังไข่ ส่วนการกลับเป็นซ้ำในรายที่มีก้อนที่ไม่ใช่พยาธิสภาพที่ผิดปกติ เชื่อว่าน่าจะเกิดจากการกลับเป็นซ้ำของก้อนดังกล่าวทำให้เกิดการบิดขั้วอีก ครั้ง  ดังนั้นอาจจะพิจารณาใช้ยา เม็ดคุมกำเนิดที่ช่วยป้องกันการเกิดก้อนที่ไม่ใช่พยาธิสภาพที่ผิดปกติ ซึ่งอาจจะช่วยลดการเกิดการบิดขั้วซ้ำได้6

         ยังไม่มีข้อสรุปถึงประโยชน์ของการเย็บรังไข่ติดกับผนังอุ้งเชิงกราน(pelvic fixation) ต่อการลดการกลับเป็นซ้ำ Oelsner และ Shashar6 แนะ นำให้ทำการเย็บดังกล่าวเฉพาะในรายที่มีการกลับเป็นซ้ำเท่านั้น เนื่องจากอาจจะมีผลเสียต่อการทำงานของรังไข่และความสามารถในการตั้งครรภ์ใน ภายหลังหากทำการเย็บในทุกราย โดยการเย็บจะใช้ไหมที่ไม่ละลายเย็บรังไข่ทั้งเอ็นยึดรังไข่กับมดลูก (ovarian ligament) และเอ็นยึดรังไข่กับผนังอุ้งเชิงกราน (infundibulopelvic ligament) เข้ากับเยื่อบุอุ้งเชิงกรานด้านข้าง

สรุป

         ภาวะ ที่มีการบิดขั้วของปีกมดลูกเป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่เป็นภาวะที่ต้องการการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว ซึ่งจะทำให้สามารถรักษาการทำงานของบริเวณที่เกิดพยาธิสภาพโดยเฉพาะการทำงาน ของรังไข่ได้ โดยลักษณะที่บ่งชี้ (classical signs) ถึงการเกิดการบิดขั้วของปีกมดลูกได้ แก่ อาการปวดท้องน้อยเฉียบพลัน การตรวจพบการอักเสบของเยื่อบุอุ้งเชิงกราน (pelvic peritonitis)และ การตรวจพบก้อนในอุ้งเชิงกราน การตรวจอัลตราซาวน์บริเวณอุ้งเชิงกรานจะช่วยในการวินิจฉัยและการวินิจฉัยแยก โรคจากภาวะอื่นๆ การรักษาหลักในปัจจุบันได้แก่การผ่าตัดเพื่อคลายตำแหน่งที่มีการบิดขั้ว ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวการตัดบริเวณที่เกิดการบิดขั้วโดยเฉพาะการตัดรังไข่ และวิธีที่สามารถป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้

เอกสารอ้างอิง

  1. Hibbard LT. Adnexal torsion. Am J Obstet Gynecol 1985;152:456-61.
  2. Eitan R, Galoyan N, Zuckerman B, Shaya M, Shen O, Beller U. The risk of malignancy in post-menopausal women presenting with adnexal torsion. Gynecol Oncol 2007;106:211-4.
  3. Mordechai Y, Cohen Z, Finaly R, Mares AJ. Acute torsion of uterine adnexa in childhood. Harefuah 1984;107:289-90.
  4. Comerci JT Jr, Licciardi F, Bergh PA, Gregori C, Breen JL. Mature cystic teratoma: a clinicopathologic evaluation of 517 cases and review of the literature. Obstet Gynecol 1994;84:22-8.
  5. Schmeler KM, Mayo-Smith WW, Peipert JF, Weitzen S, Manuel MD, Gordinier ME. Adnexal masses in pregnancy: surgery compared with observation. Obstet Gynecol 2005;105:1098-103.
  6. Oelsner G, Shashar D. Adnexal torsion. Clin Obstet Gynecol 2006;49:459-63.
  7. Shalev J, Goldenberg M, Oelsner G, Ben-Rafael Z, Bider D, Blankstein J, et al. Treatment of twisted ischemic adnexa by simple detorsion. N Engl J Med 1989;321:546.
  8. Servaes S, Zurakowski D, Laufer MR, Feins N, Chow JS. Sonographic findings of ovarian torsion in children. Pediatr Radiol 2007;37:446-51.
  9. Vijayaraghavan SB. Sonographic whirlpool sign in ovarian torsion. J Ultrasound Med 2004;23:1643-9.

10.  Hurh PJ, Meyer JS, Shaaban A. Ultrasound of a torsed ovary: characteristic gray-scale appearance despite normal arterial and venous flow on Doppler. Pediatr Radiol 2002;32:586-8.

11.  Tepper R, Lerner-Geva L, Zalel Y, Shilon M, Cohen I, Beyth Y. Adnexal torsion: the contribution of color Doppler sonography to diagnosis and post-operative follow-up. Eur J Obstet Gynecol Reprod Biol 1995;62:121-3.

12.  Oelsner G, Bider D, Goldenberg M, Admon D, Mashiach S. Long-term follow-up of the twisted ischemic adnexa managed by detorsion. Fertil Steril 1993;60:976-9.

13.  Oelsner G, Cohen SB, Soriano D, Admon D, Mashiach S, Carp H. Minimal surgery for the twisted ischaemic adnexa can preserve ovarian function. Hum Reprod 2003;18:2599-602.

14.  Pansky M, Abargil A, Dreazen E, Golan A, Bukovsky I, Herman A. Conservative management of adnexal torsion in premenarchal girls. J Am Assoc Gynecol Laparosc 2000;7:121-4.

15.  Cohen SB, Oelsner G, Seidman DS, Admon D, Mashiach S, Goldenberg M. Laparoscopic detorsion allows sparing of the twisted ischemic adnexa. J Am Assoc Gynecol Laparosc 1999;6:139-43.

16.  Cohen SB, Wattiez A, Seidman DS, Goldenberg M, Admon D, Mashiach S, et al. Laparoscopy versus laparotomy for detorsion and sparing of twisted ischemic adnexa. JSLS 2003;7:295-9.

17.  Dolgin SE, Lublin M, Shlasko E. Maximizing ovarian salvage when treating idiopathic adnexal torsion. J Pediatr Surg 2000;35:624-6.

18.  Pansky M, Smorgick N, Herman A, Schneider D, Halperin R. Torsion of normal adnexa in postmenarchal women and risk of recurrence. Obstet Gynecol 2007;109:355-9.

อัพเดทล่าสุด