โรคหัดในเด็ก โรคหัดกุหลาบ การรักษาโรคหัด


744 ผู้ชม


โรคหัดในเด็ก โรคหัดกุหลาบ การรักษาโรคหัด

โรคหัด Measles

เป็นโรคติดต่อโรคหนึ่งมักเป็นกับเด็กเล็ก 9 เดือน- 6 ปี ติดต่อโดยทางหายใจ น้ำลายที่ออกจากปาก คอ มักจะระบาดตอนฤดูหนาวถึงฤดูร้อน ระยะติดต่อ 2-4 วันก่อนเกิดผื่น และหลังเกิดผื่นแล้ว 2-5 วัน

อาการ

          - ระยะฟักตัว คือจะเกิดอาการหลังได้รับเชื้อ 8-12 วัน
            อาการนำเริ่มต้นด้วยเด็กจะมีอาการงอแง กระสับกระส่าย ปวดตามตัว น้ำมูกไหล ตาจะแดงและแพ้แสง ไอแห้งๆ มีอาการไข้สูงปวดตามตัว  ระยะที่เริ่มเป็น 2-3 วันแพทย์อาจตรวจพบผื่นแดงเล็กๆในปากเรียก Koplick'spot
          - ระยะออกผื่น หลังมีไข้ 3-4 วันจะไอมากขึ้น มีผื่น โดยผื่นขึ้นหน้าผาก และลามไปที่หน้า คอ และลำตัว เมื่อผื่นขึ้นอาการปวดเมื่อจะดีขึ้น ไข้จะค่อยๆลง  ผื่นจะใช้เวลา 3 วันลามจากหัวถึงขา ผื่นจะเริ่มจางที่ศีรษะก่อน ผื่นจะจางใน 7-10 วัน เหลือรอยดำๆ
โรคแทรกซ้อน

ระบบหายใจ อาจเกิดได้ตั้งแต่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ จนถึงปอดบวม
         - ภาวะแทรกซ้อนทางหู อาจเกิดหูชั้นกลางอักเสบ
         - ภาวะแทรกซ้อนทางตา จะมีเยื่อบุตาอักเสบ จนเป็นแผลที่แก้วตา corneal ulcer
         - ภาวะแทรกซ้อนทางเดินอาหาร มีการอักเสบของลำไส้ทำให้ถ่ายเหลว
         - ภาวะแทรกซ้อนระบบส่วนกลาง อาจพบสมองอักเสบ encephalitis เป้นภาวะที่รุนแรงที่สุด ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ และซึมลง

การรักษา

เนื่องจากโรคหัดเกิดจากเชื้อไวรัสดังนั้นจึงไม่มียาที่รักษาโดยตรง ท่านต้องปรึกษาแพทย์ของท่านให้ทราบถึงวิธีดูแล และโรคแทรกซ้อนต่างๆ หลักการดูแลทั่วๆไป คือ

          - ให้ตรวจวัดอุณหภูมิอย่างสม่ำเสมอให้ยาลดไข้ด้วย paracetamol หรือibuprofen ห้ามใช้ยา aspirin ในการลดไข้ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสเนื่องจากจะทำให้เกิด Reye's syndrome
          - กระตุ้นให้เด็กดื่มน้ำมากๆ อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
          - เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้ติดเชื้อได้ง่ายโดยเฉพาะที่หูและปอดควรให้ยาปฏิชีวนะทันที่เมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรีย

โรคจะหายเมื่อไร

โดยทั่วไปโรคจะหายใน10-14 วันนับจากตั้งแต่เริ่มมีอาการวันแรก และสามารถไปโรงเรียนหรือทำงานได้หลังจากไข้ลง หรือผื่นหายไปแล้ว 7 วัน

การป้องกัน

สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน MMR ตามตารางการฉีด หรือสามารถฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสโรคหรือหลังสัมผัสโรคไม่เกิน 3 วันก็กันโรคได้

ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ ทารถ ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งหรือวัณโรค กลุ่มคนเหล่านี้มีภูมิคุ้มกันต่ำหากสัมผัสโรคต้องให้ Gamma globulin

จะไปพบแพทย์เมื่อไร

          - ถ้าเด็กไม่ได้ฉีดวัคซีน เป็นเด็กทารก เป็นวัณโรคหากสัมผัสโรคต้องรีบปรึกษาแพทย์
          - เด็กที่เป็นโรคหัดมีอาการปวดหู หรือหายใจหอบ

โรคหัดกุหลาบ(ส่าไข้) (ROSEOLA INFANTUM)

          อาการของโรคคือ มีไข้สูงเฉียบพลัน 39.4-41.2°C (103-106°F)  โดยมากมักมีไข้นาน 3-4 วัน ช่วงที่มีไข้สูงเด็กอาจมีอาการชักจากภาวะไข้สูง  บางรายอาจมีกระหม่อมศีรษะโป่งตึงกว่าปกติ ทำให้หมอต้องวินิจฉัยแยกโรคจากเยื่อหุ้มสมองหรือโรคไข้สมองอักเสบ   แต่โดยทั่วไปมักพบว่าเด็กไม่มีอาการนอนซึม สามารถลุกขึ้นมาเล่นได้ทั้งๆที่มีไข้สูง และหากมีการเจาะน้ำไขสันหลังตรวจ จะพบว่าผลเป็นปกติ หรืออาจมีเซลเม็ดเลือดขาวเล็กน้อย    อาการอื่นที่อาจพบเช่นน้ำมูกเล็กน้อย เจ็บคอ ทานได้น้อย ถ่ายเหลว หนังตาบวม ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต  ตรวจร่างกายอาจพบ คอแดงและเยื่อแก้วหูแดงเล็กน้อย 
         วันที่ไข้ลงจะเริ่มมีผื่นแดงลักษณะเรียบหรือนูนเล็กน้อย ขนาดประมาณ 1-5 มม.ขึ้นที่ลำตัวแล้วจึงลามไปที่คอ และ อาจมีลามไปที่หน้าและขาได้เล็กน้อย  ในวันต่อมาผื่นจะดูมากขึ้น ผื่นมักไม่คัน เด็กมักเริ่มทานอาหารได้มากขึ้นในวันที่ 3 ของผื่นและผื่นจะจางหายไปภายในเวลา 3-4 วัน มักไม่มีผิวหนังลอกหรือรอยคล้ำตามมา ช่วงที่มีผื่นขึ้นคนสมัยก่อนอาจเรียกว่าส่าไข้ 
 
การวินิจฉัย  หมอวินิจฉัยโรคจากอาการและอาการแสดงเป็นหลัก  เนื่องจากการวินิจฉัยที่แน่นอนทำโดยการตรวจพบเชื้อไวรัสในเลือดหรือน้ำลาย หรือการตรวจระดับภูมิคุ้มกันที่สูงขึ้นจากเลือดยังไม่มีที่ใช้โดยทั่วไป เป็นเพียงการวิจัยเท่านั้น  หากมีการตรวจนับจำนวนเม็ดเลือดพบว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวอยู่ในเกณฑ์ปกติเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป 
 
ภาวะแทรกซ้อน  พบได้น้อยมากๆมักเป็นเฉพาะผู้มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ อาการปอดอักเสบ ตับอักเสบ สมองอักเสบ หรือความผิดปกติของระบบเลือดเช่น จำนวนเม็ดเลือดและจำนวนเกล็ดเลือดต่ำลง ควรพาพบแพทย์ หากลูกมีการชักจากไข้สูง ซึมลง ทานอาหารหรือนมได้น้อย มีอาการของภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น 
 
การรักษา  เนื่องจากเป็นโรคที่หายได้เอง เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการเช่น ยาลดไข้  ยากันชัก (ในรายที่มีความเสี่ยงภาวะชักจากไข้สูง) การดูแลรักษาประคับประคองภาวะท้องเสีย ไม่ให้ขาดสารน้ำและพลังงาน   ไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส ยกเว้นรายที่มีอาการรุนแรงจากภาวะแทรกซ้อน  
 
การป้องกัน  หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำลายของผู้เป็นโรคทั้งทางตรงและทางอ้อม (โดยจับสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสติดอยู่  แล้วเอามือเข้าปาก)

ข้อมูล : thaibreastfeeding.org

อัพเดทล่าสุด