การดูแลผู้สูงอายุ (Elderly care)


1,118 ผู้ชม


ทั่วไป

ผู้สูงอายุ หรืออาจเรียกว่า คนแก่ คนชรา ผู้สูงวัย หรือราษฎรอาวุโส (Older person หรือ Elderly person หรือ Senior citizen) สำหรับประเทศไทย “ผู้สูงอายุ” ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุเกินกว่าหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีสัญชาติไทย ผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มบุคคลที่กำลังทวีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องในทุกๆประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทั้งนี้จากการสาธารณสุขและการแพทย์ที่เจริญขึ้น ช่วยให้คนมีอายุยืนขึ้น นอกจากนั้น จากการคุมกำเนิด และสถานภาพทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้การมีบุตรลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้สูงอายุ เป็นบุคคลที่ต้องพึ่ง พา มีปัญหาจากการเสื่อมถอยของร่างกายซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการมีโรคเรื้อรังต่างๆซึ่งมักเกิดในช่วงสูงวัย เช่น เบาหวานความดันโลหิตสูง จากการขาดการเคลื่อนไหวและการออกกำลังกายจากปัญหาสุขภาพ การมีรายได้ลดลง หรือ ไม่มีรายได้ และมีปัญหาสุขภาพจิต เพราะเป็นวัยแห่งการพลัดพรากสูญเสีย ดังนั้น จึงเป็นวัยที่ต้องมีการดูแลเฉพาะแตกต่างจากวัยอื่นๆ เพื่อให้ผู้ สูงอายุ สามารถดูแลตนเองได้พอสมควรกับวัย มีสุขภาพแข็งแรงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อลดปัญหาของผู้สูงอายุเอง ของครอบครัว และของสังคม

โดยทั่วไป การดูแลผู้สูงอายุ (Elderly care หรือ Elder care) ประกอบด้วยการดูแลในด้านสำคัญ คือ

  • ด้านอาหาร
  • ด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและการออกกำลังกาย
  • ด้านการขับถ่าย
  • ด้านการป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน
  • ด้านการติดเชื้อและโรคประจำตัว
  • ด้านสุขภาพจิต
  • ด้านสิ่งแวดล้อม

อนึ่ง พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน แพทย์ผู้ดูแลผู้สูงอายุ ได้แยกการดูแลผู้สูง อายุด้านต่างๆเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจและต่อการจำเป็น 11 อ. คือ

  1. อาหาร
  2. ออกกำลังกาย
  3. อนามัย
  4. อุจจาระ ปัสสาวะ
  5. อากาศ
  6. แสงอาทิตย์
  7. อารมณ์
  8. อดิเรก
  9. อนาคต
  10. อบอุ่น และ
  11. อุบัติเหตุ

การดูแลผู้สูงอายุด้านอาหาร

ผู้สูงอายุ มีความต้องการอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ กล่าวคือ โปรตีน คาร์โบ ไฮเดรต ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ เช่นเดียวกับในคนทุกอายุ แต่เนื่องจากผู้สูง อายุจะเคลื่อนไหวได้น้อยกว่า ออกกำลังกายได้น้อยกว่า มีโรคเรื้อรังต่างๆที่ต้องจำกัดทั้งประเภทและปริมาณอาหารสูงกว่า และร่างกายต้องการอาหารเพื่อการเจริญ เติบโตน้อยกว่าวัยอื่นๆ ผู้สูงอายุจึงอ้วนได้ง่ายกว่า ดังนั้นผู้สูงอายุจึงจำเป็น ต้องจำกัดอาหารหลักที่ให้พลังงานมากกว่าคนอายุอื่น นั่นคือ การจำกัดอาหารคาร์โบ ไฮเดรตและอาหารไขมัน แต่บริโภคโปรตีนในปริมาณเท่ากับในผู้ใหญ่ทั่วไป และควรต้องเพิ่มปริมาณ ผัก ผลไม้ให้มากขึ้น

ผู้สูงอายุมักมีปัญหาด้านการย่อยอาหาร เพราะมีการเสื่อมถอยของเซลล์ทุกๆเซลล์ มีปัญหาของฟันและเหงือก ส่งผลต่อการเคี้ยวอาหาร น้ำลายลดลง ส่งผลทั้งต่อการเคี้ยวและการย่อย ประสิทธิภาพของน้ำย่อย ปริมาณน้ำย่อย และการเคลื่อน ไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ถดถอย เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย และท้องผูกได้ง่าย ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรต้องบริโภคอาหารอ่อน ย่อยง่าย อาหารรสไม่จัด หลีกเลี่ยงผลไม้ดิบ หรือ ผักสดชนิดย่อยยาก และหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอดน้ำมัน

โปรตีนควรต้องเป็นชนิดย่อยง่ายเช่นกัน เช่น จากปลา และไข่ ถ้าจะบริโภคเนื้อ ควรต้องปรุงให้เปื่อยยุ่ย เป็นต้น ในส่วนของไข่ แพทย์ทุกคนเห็นตรงกันว่า กินไข่ขาวได้สูงถึงวันละ 3 ฟอง ถ้ากินโปรตีนชนิดอื่นไม่ได้ แต่ในเรื่องของไข่แดง ยัง คงถกเถียงกันอยู่ เพราะการศึกษาต่างๆยังสรุปไม่ได้ชัดเจน เพราะหลายการศึกษาให้ผลว่า ถ้าไม่มีโรคประจำตัว หรือ ไขมันในเลือดสูง สามารถกินไข่รวมทั้งไข่แดง และไข่ขาวได้ถึงวันละ 2-3 ฟอง แต่แพทย์ทั่วไป ยังคงแนะนำให้กินไข่แดงได้ไม่เกิน สัปดาห์ละ 2-3 ฟอง

คาร์โบไฮเดรต ควรเป็นแป้งจากธัญพืชเต็มเมล็ด หรือ ขัดสีน้อย เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร เลือกที่มีน้ำตาลน้อยที่สุด จำกัดอาหารมีน้ำตาลให้เหลือน้อยที่สุด

จำกัดไขมันทุกประเภทให้เหลือน้อยที่สุด เพราะเป็นอาหารที่มีประโยชน์น้อยที่สุดสำหรับผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ให้โทษมากกว่า โดยเฉพาะโรคของหลอดเลือด

เพิ่มผัก ผลไม้ให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 5 มื้อ เพื่อได้วิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารช่วยลดการท้องผูก และไม่ทำให้อ้วน เนื่องจากเป็นอาหารกลุ่มไม่มีพลังงาน ยกเว้น ผลไม้ที่มีรสหวานทุกชนิด ควรจำกัดเช่นเดียวกับการจำกัดอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต

ดื่มน้ำให้ได้มากๆ จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดอาการท้องผูก ลดโอกาสเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ลดอาการปากคอแห้ง และช่วยละลายเสมหะ ดื่มอย่างน้อย วันละ 6-8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม เช่น โรคหัวใจล้มเหลว

วิตามินเกลือแร่ เสริมอาหารทุกชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อบริโภคเองเสมอ เพราะ ตับและไตผู้สูงอายุ จะทำงานได้น้อยลง โอกาสเกิดโทษจากผลข้าง เคียงของวิตามิน เกลือแร่เสริมอาหารจึงสูงขึ้น จากการเพิ่มปริมาณสะสมในร่างกาย

ควรต้องเลิกบุหรี่ เพราะมีสารพิษต่างๆมากมาย ก่อให้เกิดโรคของหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคของทางเดินหายใจ โรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ โรคกรดไหลย้อน และเป็นสารก่อมะเร็งสำคัญ เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งในอวัยวะส่วนศีรษะและลำคอ และโรคมะเร็งเต้านม

ควรต้องจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะมีผลต่อตับเพิ่มขึ้น จากการที่ตับทำงานได้น้อยลงตามอายุ และยังเป็นสาเหตุของโรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ และโรคกรดไหลย้อน

ควรต้องจำกัดเครื่องดื่มมีกาเฟอีนให้เหลือน้อยที่สุด เช่น ชา กาแฟ โคล่า เพราะมักทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ใจสั่นและเพิ่มการขับน้ำออกทางปัสสาวะ จึงอาจส่งผลให้เกิดอาการวิงเวียน และ/หรือ ภาวะความดันโลหิตต่ำ โดย เฉพาะเมื่อลุกขึ้นยืนได้

อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุ ควรได้อาหารหลากหลายชนิด ไม่ควรกินซ้ำๆชนิดเดียวกันต่อเนื่อง เพราะจะเกิดการสะสมสารไม่พึงประสงค์ หรือ ภาวะขาดอาหารได้ง่าย

ดังนั้น การดูแลผู้สูงอายุในด้านอาหาร คือ ต้องให้ผู้สูงอายุได้อาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ ครบถ้วน ในปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้พลังงานของผู้สูงอายุ เพื่อไม่ให้เกิดโรคน้ำหนักเกิน และโรคอ้วน ไม่ให้เกิดการขาดอาหาร และเพื่อได้สาร อาหาร น้ำดื่ม และใยอาหารอย่างพอเพียง

การดูแลผู้สูงอายุด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและการออกกำลังกาย

ควรดูแลให้ผู้สูงอายุได้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย (Physical activity) ทุกส่วน อยู่เสมอ เช่น การเดิน การบริหารกล้ามเนื้อและข้อที่สำคัญ เช่น ข้อเข่า ข้อไหล่ และข้อนิ้วต่างๆ เพราะข้อต่างๆ จะติดขัดได้ง่าย จากการเสื่อมถอยของเนื้อเยื่อข้อกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น การช่วยงานบ้านที่เหมาะสมกับสุขภาพ เช่น กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ ช่วยดูแลหลานที่โตแล้ว แต่การดูแลเด็กอ่อนและเด็กเล็ก ควรต้องมีผู้ ช่วยผู้สูงอายุด้วย ควรจัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุได้เคลื่อนไหวเสมอ ไม่นั่งแช่ดูทีวี หรือ นอนอยู่แต่บนเตียง การช่วยกันจัดให้มีการรวมกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนเพื่อกิจกรรมต่างๆ จะเป็นสิ่งที่ช่วยผู้สูงอายุทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต

ส่วนการออกกำลังกาย (Exercise) หมายถึง การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวที่เพิ่มการใช้พลังงาน นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวร่างกายในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่ง ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อแนะนำวิธีการในการออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุให้เหมาะสมกับสุขภาพของผู้สูงอายุแต่ละคน

โดยทั่วไป การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ คือ การเดิน ซึ่งเมื่อไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ แพทย์มักแนะนำการเดินวันละประมาณ 20-30 นาที ทุกๆวัน ซึ่งในการเดิน ควรต้องหาสถานที่ให้ปลอดภัยต่อผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุโดย เฉพาะการล้ม การใส่เครื่องช่วยพยุงต่างๆ เช่น พยุงข้อเท้า และพยุงข้อเข่า รวมทั้งต้องเลือกรองเท้าที่เหมาะสมต่อการเดิน ป้องกันอุบัติเหตุต่อการล้ม และต่อข้อต่างๆ ซึ่งทางที่ดี ควรปรึกษาแพทย์และนักกายภาพบำบัดก่อน

การดูแลผู้สูงอายุด้านขับถ่าย

ผู้สูงอายุ มีปัญหาในการขับถ่ายเสมอ ทั้งการปัสสาวะ และการอุจจาระ จากการเสื่อมถอยของเซลล์ต่างๆ รวมทั้งของกล้ามเนื้อหูรูดต่างๆ

การถ่ายปัสสาวะ ผู้สูงอายุทั้งหญิงและชาย มักมีปัญหาจากการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และการปัสสาวะบ่อย ซึ่งผู้หญิงจะพบบ่อยกว่าผู้ชายรวมทั้งอาการรุนแรงกว่า เพราะขาดฮอร์โมนเพศ จากการหมดประจำเดือนถาวร

ดังนั้น ในการดูแลผู้สูงอายุ จึงต้องใส่ใจในเรื่องนี้ จัดห้องพักอาศัยให้ใกล้ห้องน้ำ เครื่องนุ่งห่มควรต้องใส่ ถอดได้ง่าย สอนให้ผู้สูงอายุรู้จักใช้ผ้าอ้อมอนามัย แต่ควรให้ผู้สูงอายุเลือก และทดลองใช้แบบต่างๆด้วยตนเอง เช่น แบบเป็นแถบคล้ายใส่ผ้าอนามัย หรือ แบบคล้ายกางเกง รวมทั้งในด้านความหนา และกลิ่นของผ้าอ้อมอนามัย รวมทั้งในการเดินทาง การท่องเที่ยว และกิจกรรมต่างๆ ควรต้องดู แลในเรื่องห้องน้ำให้สะดวกสำหรับผู้สูงอายุเสมอ

นอกจากการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แล้ว ผู้สูงอายุหลายท่าน ยังไม่สามารถกลั้นอุจจาระได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะอุจจาระเล็ด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่ผู้สูง อายุไม่อยากเข้าสังคม ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังในเรื่องอาหารเสาะท้องที่ทำให้ท้อง เสียได้ง่าย นอกจากนั้น ก่อนพาผู้สูงอายุไปไหน ควรให้เวลาได้เข้าห้องน้ำถ่ายอุจจาระก่อน และ ควรต้องฝึกผู้สูงอายุให้ถ่ายเป็นเวลา และมีชุดชั้นในสำรองสำหรับผู้สูงอายุเสมอ

ผู้สูงอายุ มักมีปัญหาจากอาการท้องผูกเสมอ จากกระเพาะอาหารและลำไส้ลดการบีบตัวตามอายุ การเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง การไม่ได้ออกกำลังกาย การกินผัก ผลไม้ น้อย ไม่ชอบดื่มน้ำ และอาจจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดที่รักษาโรคเรื้อรังของผู้สูงอายุ เช่น ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ดังนั้น ผู้สูงอายุเอง และผู้ดูแล จึงควรช่วยเหลือให้ผู้สูงอายุมีการเคลื่อนไหวร่างกายเสมอ กินผักผลไม้มากๆ (อาจใช้การหั่นเป็นชิ้นเล็ก หรือ เลือกชนิดที่เคี้ยวง่าย หรือใช้เครื่องปั่นช่วย) และดื่มน้ำมากๆ (ตั้งขวดน้ำไว้ให้เห็น และแนะนำให้ดื่มให้หมด)

ผู้ดูแล และครอบครัวควรต้องเข้าใจว่า ปัญหาการขับถ่ายเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ควรรำคาญ หรือ แสดงความรังเกียจ ควรต้องช่วยผู้สูงอายุแก้ปัญหา ควรปรึกษาแพทย์/พยาบาล เพราะมีวิธีการทางกายภาพบำบัดที่จะช่วยฝึกกล้ามเนื้อในการขับ ถ่ายให้แข็งแรงขึ้น และยังมียาช่วยกระตุ้นประสาทควบคุมการขับถ่ายเพื่อช่วยให้กลั้นปัสสาวะ/อุจจาระได้ดีขึ้น

นอกจากนั้น ผู้สูงอายุเอง ควรต้องให้ความร่วมมือดูแลตนเองตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ อย่าขาดกำลังใจ เช่น การทำงานต่างๆให้อยู่ใกล้ห้องน้ำไว้ ไม่กลั้นปัสสาวะ/อุจจาระ ระวังเรื่องอาหาร ศึกษาเส้นทางการเดินทาง การท่องเที่ยวก่อนเสมอเมื่อต้องเดินทาง เพื่อจัดการปัญหาเรื่องห้องน้ำ และแจ้งครอบครัวถึงความจำเป็นในการเข้าห้องน้ำเสมอ

อีกประการ คือ ผู้สูงอายุ และผู้ดูแลต้องใส่ใจ บริเวณอวัยวะเพศ และบริเวณก้น เมื่อมีภาวะกลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่อยู่ เพราะบริเวณนี้ซึ่งอับชื้นอยู่แล้ว จะอักเสบ ติดเชื้อ ทั้งเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งเชื้อราได้ง่าย หรือ เกิดเป็นผื่นคันได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งการรักษาจะยุ่งยากกว่าการป้องกันดูแลมาก

การดูแลที่สำคัญ คือ การทำความสะอาดทุกครั้งที่มีการปัสสาวะ/อุจจาระ ทั้งในภาวะปกติ และในภาวะกลั้นไม่อยู่ โดย

  • ล้างบริเวณนี้ด้วยน้ำสะอาด ซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด (ควรเตรียมไว้ล่วง หน้าเสมอในการเดินทาง)
  • เมื่ออาบน้ำ ควรใช้สบู่อ่อนโยน (สบู่เด็กอ่อน) ทำความสะอาดบริเวณนี้เสมอ อย่าใช้สบู่ หรือ น้ำยารุนแรง
  • สวมใส่ชุดชั้นใน กางเกง หรือ กระโปรง ชนิดผ้าที่ถ่ายเทอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย 100%
  • เปลี่ยนผ้าอ้อมอนามัยบ่อยๆ
  • เมื่อเกิดผื่น หรือ แผล ควรเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เบตาดีน และ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันควรรีบพบแพทย์ ก่อนผื่น หรือ แผลลุกลาม

อนึ่ง การดูแลผิวหนังบริเวณนี้ ในผู้สูงอายุที่ต้องนอนอยู่กับที่ หรือ เคลื่อน ไหวไม่ได้ ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์/พยาบาลเฉพาะกรณีไป ซึ่งผู้ดูแลควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

การดูแลผู้สูงอายุเพื่อป้องกันอุบัติเหตุในบ้าน

ผู้สูงอายุ มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุต่างๆได้สูง ที่พบบ่อย คือ การล้ม และจากการใช้เครื่องใช้ต่างๆ

จากการล้ม เพราะปัญหาของการเสื่อมถอยของ สมอง (การวิงเวียน ความ สามารถในการทรงตัว) กล้ามเนื้อ กระดูก ข้อ การมองเห็น และการได้ยินลดลง ทำให้ผู้สูงอายุลื่นล้มได้ง่าย ดังนั้น จึงต้องจัดบ้านให้ปลอดภัยต่อผู้สูงอายุ ที่จะลื่น หรือ สะดุดล้ม เช่น ไม่ควรให้นอนกับพื้น เตียงนอนควรเตี้ยในระดับที่ลุกนั่งแล้วเท้ายันพื้นได้พอดี มีที่ยึดเหนี่ยว จัดให้ห้องพักอยู่ใกล้ห้องน้ำไม่มีสิ่งของที่เป็นอันตรายในห้องพัก ระมัดระวังเรื่องการใช้พรมปูพื้น พื้นห้องน้ำต้องไม่ลื่น (การมีราวจับ จะช่วยการทรงตัวได้ดีขึ้น) ทางเดินต้องสะดวก ไม่วางของเกะกะ รวมทั้งบนพื้น หลีก เลี่ยงการใช้บันได และแสงสว่างตามทางเดินต่างๆทุกที่ ต้องเพียงพอ ให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

การเลือกรองเท้าที่กระชับ มีสายรัด หัวท้ายปิด นุ่มสบาย ส้นเตี้ย สะดวกต่อการสวมใส่ และการถอด (ไม่ควรเลือกชนิดมีสายผูกร้อย ควรเป็นแถบกาว) และการใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญช่วยลดอุบัติเหตุของผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ควรต้องพูดคุย แนะนำ กับผู้สูงอายุ ถึงวิธีใช้อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งต้องง่าย และปลอดภัย หรือ ห้ามใช้อะไรบ้าง? เช่น ห้ามใช้เตาแก๊ส ห้ามจุดธูป/เทียนไหว้พระ และในการดูแลตนเองของผู้สูงอายุเมื่อไม่มีคนอยู่บ้าน เป็นต้น

การดูแลผู้สูงอายุด้านการติดเชื้อและโรคประจำตัว

โดยธรรมชาติของการเสื่อมถอยของเซลล์ในทุกๆระบบรวมทั้งระบบสร้างภูมิ คุ้มกันต้านทานโรค ผู้สูงอายุ จึงมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำกว่าคนทั่วไปเสมอ ส่ง ผลให้ติดเชื้อได้ง่าย และมักเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง บ่อยครั้งเป็นสาเหตุของการเสีย ชีวิตได้ ดังนั้น ตัวผู้สูงอายุเอง ผู้ดูแล และครอบครัวต้องใส่ใจ และร่วมกันรักษา สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) อย่างเคร่งครัด เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อของผู้สูงอายุ

นอกจากนั้น ผู้สูงอายุมักเกิดโรคเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการใช้พลังงานในร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ดังนั้น ตัวผู้สูงอายุเอง และครอบครัว ควรมีการตรวจสุขภาพให้กับผู้สูงอายุสม่ำเสมอ เริ่มได้เลยในทุกอายุ ต่อจากนั้น ความถี่ในการตรวจจะขึ้นกับผลตรวจและดุลพินิจของแพทย์ อีกประการสำคัญ คือ ควรให้ผู้สูงอายุได้รับการฉีดวัคซีน ตามกระทรวงสาธารณสุข และ/หรือ แพทย์/พยาบาลแนะนำเสมอ เช่น วัคซีนโรคไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนโรคไวรัสตับอักเสบ บี

นอกจากนั้น เมื่อพบว่า ผู้สูงอายุเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ ควรต้องใส่ใจดูแลรักษา ปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำเสมอ เคร่งครัดกว่าผู้ใหญ่ทั่วไป เพราะผู้ สูงอายุจะเกิดผลข้างเคียงต่างๆได้ง่าย และไม่ควรให้ขาดยา รวมทั้งการพบแพทย์ควรต้องสม่ำเสมอตามแพทย์นัด

เมื่อผู้สูงอายุมีอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะเมื่อมีไข้ หรือ ท้องเสีย ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน ต้องนำผู้สูงอายุพบแพทย์ เพื่อการรักษาได้ทันท่วงที แต่ถ้ามีอาการมาก ควรพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง หรือ เป็นการฉุกเฉิน

การดูแลผู้สูงอายุด้านสุขภาพจิต

ผู้สูงอายุมักมีปัญหาด้านสุขภาพจิตเสมอ สถิติในปี พศ. 2547 ในสหรัฐ อเมริกา พบผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต จนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย สูงถึง 16% ของการฆ่าตัวตายทั้งหมดจากทุกสาเหตุ คิดโดยเฉลี่ย คือ 14.3 คน ต่อ ผู้สูงอายุ 100,000 คน ซึ่งในกลุ่มคนทั่วไป อัตราการฆ่าตัวตาย คือ 11 คน ต่อ ประชากร 100,000 คน ทั้งนี้เกิดจากเหตุผลดังได้กล่าวแล้วว่า เป็นวัยแห่งการสูญเสีย และสิ้นพลัง จึงมักมี อาการซึมเศร้า กลัว เหงา ขาดความรัก ไม่เป็นที่ต้องการ และขาดความมีศักดิ์ศรี

ดังนั้น การดูแลผู้สูงอายุ จึงต้องให้ความรัก ความนับถือเหมือนเมื่อครั้งผู้สูง อายุยังอยู่ในวัยทำงาน ให้ความเข้าใจ มีเวลาให้บ้าง สั่งสอนอบรมให้ลูกหลานยังคงเคารพนับถือ ไม่แสดงให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าเป็นภาระ หมดคุณค่า เป็นที่ไม่ต้องการ หา ทางช่วยเสริมสร้างศรัทธาในตนเองให้กับผู้สูงอายุ เช่น การได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมผู้สูงอายุด้วยกัน การได้มีส่วนร่วมในการดูแลครอบครัว โดยให้เหมาะสมกับสุขภาพผู้สูงอายุ การยังเป็นที่เคารพ นับถือของคนในครอบครัวที่อาวุโสน้อยกว่า

ผู้สูงอายุ ควรมีโอกาสได้เข้าสังคมที่เหมาะสม การที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน ขาดเพื่อนในวัยเดียวกัน หรือ ขาดคนพูดคุยผ่อนคลายความเหงา ยิ่งเป็นการบั่นทอนสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ

ผู้ดูแล และครอบครัว ควรคอยสังเกตอาการซึมเศร้าของผู้สูงอายุเสมอ เมื่อมีอาการมาก หรือ ครอบครัวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์

การดูแลผู้สูงอายุด้านสิ่งแวดล้อม

สิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้สูง อายุ เช่น ควรจัดบ้านให้สะอาด และถ้าเป็นไปได้ ช่วยให้ผู้สูงอายุ ได้เห็นแสงแดด หรือ ห้องพักที่แสงแดดส่องถึง เพราะนอกจากช่วยฆ่าเชื้อโรคแล้ว แสงแดดจะมีผลต่อจิตใจ ให้ความรู้สึกที่สดชื่น และเกิดพลัง ช่วยลดการซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี

มีต้นไม้ ดอกไม้ แม้จะเพียง 1-2 กระถาง ให้ผู้สูงอายุได้ดูแล ได้มีส่วนร่วม และได้เห็น ถึงการมีชีวิตและการเจริญเติบโตซึ่งเกิดจากการดูแลของผู้สูงอายุ ซึ่งจะช่วยด้านอารมณ์ และจิตใจของผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก

ผู้สูงอายุควรดูแลตนเองอย่างไร?

ผู้สูงอายุ นอกจากมีความต้องการการดูแลจากครอบครัวและสังคมแล้ว ผู้สูง อายุเองควรรู้จักดูแลตนเองด้วย เพื่อเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง เพื่อแบ่งเบาภาระของครอบ ครัว และเพื่อแบ่งเบาภาระของสังคม โดยใช้หลักการเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด (หรือ หลัก 11อ.) แต่ในทางกลับกัน คือ ใช้ในการดูแลตนเองตามระดับความสามารถของสุขภาพร่างกายในขณะนั้น

ประการสำคัญที่สุด ผู้สูงอายุควรต้อง เข้าใจ ยอมรับในการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ของการดำเนินชีวิต และตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม ผู้ สูงอายุจึงยังควรต้องรับฟังข่าวสาร และเรียนรู้วิทยาการใหม่ๆที่เหมาะสมกับวัย และพยายามปรับตัวเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตที่เหลืออยู่ได้อย่างมีคุณภาพ

การเข้าใจทั้งเขาและเรา การยอมรับ และการเรียนรู้ จะนำมาซึ่งอารมณ์ที่แจ่มใส การมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี นำไปสู่การยังคงเป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่พึ่งพิงทางอารมณ์ จิตใจ ช่วยผ่อนคลายปัญหาทั้งด้านร่างกาย และด้านจิตใจทั้งของตนเอง ของครอบครัว และของสังคมได้ ควรต้องตระหนักเสมอว่า ถึงแม้จะเป็นผู้สูงอายุ ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและของสังคม

ผู้สูงอายุ ควรมีส่วนร่วม และให้ความร่วมมือในการดูแลตนเองในด้านต่างๆดัง กล่าวแล้ว ได้แก่ ด้านอาหาร การเคลื่อนไหวร่างกาย การออกกำลังกาย การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน การควบคุมโรคเรื้อรังต่างๆของตนเอง การลดอุบัติเหตุของตน เองทั้งในบ้าน และนอกบ้าน การช่วยเสริมสร้างความน่าอยู่ หรือ สิ่งแวดล้อมในบ้าน และรอบๆบ้าน รวมทั้งของชุมชน สังคม และพยายามดูแลสุขภาพจิตของตนเอง ซึ่งทั้งหมด เกิดได้จากความเข้าใจ การยอมรับ การเรียนรู้ การรู้ว่าตนเองยังสามารถทำอะไรได้บ้าง การปฏิบัติตามแพทย์/พยาบาลแนะนำ และตามคำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากครอบครัว พยายามปฏิบัติตนเพื่อสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะ สมตามวัย และเพื่อไม่เป็นภาระต่อครอบครัว ซึ่งการดูแลตนเองได้ และไม่เป็นภาระต่อผู้อื่นจนเกินไป จะช่วยเพิ่มความเคารพนับถือตนเอง และลดอาการซึมเศร้าของผู้ สูงอายุได้เป็นอย่างดี

ผู้สูงอายุควรตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง และดำรงคุณค่านั้นไว้เสมอ เช่น การเป็นสายใยของครอบครัว เป็นผู้ที่มีวัยวุฒิ คุณวุฒิ ที่สามารถให้คำปรึกษา คำ แนะนำ ให้การอบรมสั่งสอน การเป็นที่พึ่งพิงทางอารมณ์ เป็นกำลังใจให้กับครอบ ครัว และการช่วยคลี่คลายปัญหาชีวิตทั้งของตนเอง และของครอบครัว
ที่มา   https://haamor.com/th/การดูแลผู้สูงอายุ/

อัพเดทล่าสุด