แผลเป็น จากสิว รอยสิว หลุมแผลเป็น ปัญหาหนักกว่า สิว


แผลเป็น จากสิว

รอยสิว หลุมแผลเป็น ปัญหาหนักกว่า สิว

 สิวแผลทางใจ

 สิว จัดเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด และจัดเป็นโรคผิวหนังอย่างหนึ่ง สิวไม่ได้จัดเป็นแค่ปัญหา ความงามอย่างเดียว แต่สิวที่เป็นมากและทิ้ง รอยแผลเป็น ไว้ ย่อมก่อให้เกิดปัญหาทางจิตใจด้วย เคยมีงานวิจัยโดยทีมงานของศาสตราจารย์ Cunlifte แห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ และได้ให้ความเห็นว่า….

รอยแผลเป็น

รอยแผลเป็น ที่เกิดจากการเป็นโรคสิว จะต้องประเมินผล จากลักษณะของรอยที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ร่วมไปกับ การประเมินผลต่อภาวะทางจิตใจและสังคม ได้มีการสร้างเครื่องมือ ตรวจสอบภาวะทางจิตใจที่ชื่อ APSEA (Assessment of the Psychological and Social Effect of Acne) ขึ้นมา ซึ่งผลงานวิจัยชิ้นนี้แสดงว่าผู้ป่วยโรคสิวที่ใบหน้าที่ยิ่งเป็นมากและเป็นนาน จะมีคะแนน APSEA สูงนั่นคือ มีความผิดปกติทางจิตใจ และสังคมมากตามไปด้วย พบว่า ผู้ป่วยโรคสิวที่เป็นเรื้อรัง เพศหญิงจะมีคะแนนสูงกว่าเพศชาย นั่นคือเมื่อเป็นสิว หญิงจะมีปัญหาทางจิตใจสูงกว่าชาย นอกจากแผลเป็นทางจิตใจที่ประเมินได้จากคะแนนAPSEA แล้ว โรคสิวยังก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรที่มองเห็นได้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงว่า ในจำนวนผู้ป่วยโรคสิว 200 คน ที่ได้รับการรักษาโรคสิวอย่างได้ผล ร้อยละ 95 ก็ยังปรากฏแผลเป็นของใบหน้า มากบ้างน้อยบ้าง

 ดังนั้น "คลินิกผิวหนัง" จึงขอฝากข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคสิวไว้ เพื่อลดโอกาสเกิดแผลเป็นที่มีผลต่อทั้งจิตใจและร่างกาย ดังต่อไปนี้ครับ

 1. ไม่ควรล้างหน้า เช็ดหน้า ขัดถู รบกวนใบหน้าบ่อยเกินไป เลือกใช้สบู่อ่อน เช่น สบู่เด็ก 

2. งดเว้นการใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่เหนียวเหนอะหนะ เพราะจะมีโอกาสกระตุ้นให้เกิดสิวได้ เช่น ครีมบำรุงผิว ครีมพอกหน้า ครีมแก้รอยเหี่ยวย่น ที่มีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ ควรเลือกใช้ครีม หรือสารให้ความชุ่มชื้นซึ่งมีส่วนประกอบทางสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดสิว โดยทั่วไปนั้น ชุดเมคอัพ เช่น ลิปสติก แป้ง บลัชออน มาสคาร่า อายแชโดว์ และชุดรองพื้น มักไม่ทำให้เกิดสิว

3. ห้ามบีบ ห้ามแกะสิว เพราะทำให้สิวอักเสบลุกลามเป็นมากขึ้น และทำให้เกิด แผลเป็นถาวร ได้ ในขณะนี้พบว่า โรคสิวแกะเกาที่เคยพบมาก ในเด็กวัยรุ่นฝรั่งเศส มีเด็กไทยเริ่มเป็นมากขึ้น โดยเด็กวัยรุ่นจะมีความเครียด และวิตกกังวลเมื่อเป็นสิว จนถึงขั้นต้องบีบแกะสิวอยู่ตลอด ทำให้เกิดริ้วรอยแผลเป็นตามมามากมาย 

4. การใช้ยารักษาสิว ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิวและ ฝ้า เพราะอาจผสมสเตียรอยด์ซึ่งทำให้สิวอักเสบยุบลงได้ และอาจทำให้ฝ้าจางลงแต่ก่อภาวะแทรกซ้อนตามมามากมาย โดยมีการกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาใหม่มากกว่าเดิม ทำให้สิวไม่หายขาด

5. หากมีสิวอักเสบมาก ควรปรึกษาแพทย์ เพราะจัดเป็นโรคอย่าง หนึ่ง และอาจจำเป็นต้องได้รับยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะ และควรรับประทานยาให้ครบและสม่ำเสมอ

6. การรักษาสิวนั้น ไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณามากเกินไป และไม่ สมควรรับการรักษาสิวจากร้านเสริมสวย เพราะสิวจัดเป็นโรคผิวหนัง พบเสมอว่าการรักษาสิวจากสถานเสริมความงามนั้น นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังอาจเกิดข้อแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ และมักมีค่าใช้จ่ายสูงเกินความเป็นจริง

 
ที่มา  https://www.doctorcosmetics.com/read_content.php?id=1797&pagetype=articles

อัพเดทล่าสุด