อุดมคติอนุบาล


หน้าที่ 1 - อนุบาล
มันก็จะมีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกันคือคำว่า อนุบาล อนุบาล นี้มันหมายถึงอะไรกันแน่ คำว่าอนุ ไม่ได้แปลว่าน้อยอย่างเดียว มันแปลว่ารองลำดับ หรือตามลำดับ หรืออะไรได้อีกด้วย ทีนี้เราเรียกว่าอนุบาลก็หมายถึงเด็กเล็กๆ คงจะความหมายคำว่าน้อย เลยกลายเป็นเด็ก ทีนี้ก็จะอนุบาลกันในรูปไหน ถ้ามันไม่เรื่องทางจิตใจเข้าไปรวมอยู่ด้วยแล้ว การอนุบาล ศึกษาอนุบาลก็ไม่ผิดอะไรกับการเลี้ยงลิงแหละ ซึ่งมันไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นต้องนึกให้ดีว่าหัวใจของมันอยู่ตรงไหน ทำไมจึงต้องมีการศึกษาประเภทนี้ นี้เป็นข้อแรกที่อาตมาอยากจะทำความเข้าใจ เหตุผล ไม่ต้องมีการศึกษาระบบนี้ ข้อนี้มันลึก มันอยู่ลึก ต้องเรียนรู้ถึงเรื่องของมนุษย์ โดยเฉพาะสัญชาตญาณซึ่งเป็นสิ่งที่มีประจำอยู่ในสิ่งที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นอะไร ถ้ามันเป็นสิ่งมีชีวิต มันก็มีความรู้สึกได้เองที่เรียกว่าสัญชาติญาณ มันเป็นของที่ธรรมชาติให้ติดตัวมาเป็นสมบัติ ถ้าไม่มีสัญชาตญาณแล้วมันก็มีชีวิตไปไม่ได้ ฉะนั้นมันต้อมีสัญชาติญาณ สำหรับจะให้รู้การดำรงชีวิต นี่สัญชาติญาณก็มีหลายแขนง 
[[53068]]

[[53069]]

แต่แขนงที่สำคัญที่สุดก็คือสัญชาติญาณแห่งความมีตัว มีตัว มีตัวฉันนั่นแหละ คือสัญชาติญาณอย่างนี้ สัญชาติญาณมีตัวฉันนั่นแหละมันทำให้คลอด สัญชาติญาณแสวงหาอาหาร ต่อสู้หนีภัย กระทั่งสืบพันธุ์กันไปตามเรื่อง เพื่อจะไม่สูญพันธุ์ เพื่อชีวิตจะยังอยู่ แต่ละจุดศูนย์กลางของสัญชาติญาณ ก็คือสัญชาติญาณว่ามีตัวคือมีตัวฉัน มนุษย์ก็ดีสัตว์เดรัจฉานก็ดี ก็มีความรู้สึกลึกๆ มีความรู้สึกมีตัวเหมือนกันนั่นแหละ แต่คนไม่รู้มาหาว่าไม่มีด้วยซ้ำไป การศึกษาบางแขนง หาว่าต้นไม้ไม่มีชีวิต ไม่มีวิญญาณ ไม่มีความรู้สึก พ้นสมัยแล้ว รู้แต่ว่าต้นไม้ก็มีความรู้สึกที่จะต่อสู้ เพื่อจะยังอยู่ เพื่อจะสืบพันธุ์อะไรต่างๆ สัญชาติญาณแห่งความมีตัว สัญชาติญาณแห่งความมีตัวเนี่ยผิดกันกับความเห็นแก่ตัว ขอให้สังเคราะห์สังเกตไว้ สัญชาติญาณแห่งความมีตัวติดมากับชีวิตเลย ทารกในครรภ์ก็มีสัญชาติญาณแห่งการมีตัวเตรียมพร้อม เมื่อเขาคลอดออกมาจากท้องมารดาแล้ว เจอสิ่งแวดล้อมแล้วเนี่ย มันจะเดินไปต่อไปจากสัญชาติญาณความมีตัว กลายความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว ซึ่งไม่ใช่สัญชาตญาณอันถูกต้องที่แท้จริง เมื่อเด็กอยู่ในครรภ์ไม่ได้รับรสอร่อยอะไร ก็ไม่มีความรู้สึกคิดนึก พอออกมาจากครรภ์แล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของมัน ได้รับการสัมผัส ได้รับการแวดล้อม ได้รับการบำรุง มันมีสิ่งที่ถูกใจ ถูกใจ ความถูกใจทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวยิ่งขึ้นไป ยิ่งถูกใจก็ยิ่งต้องการ ยิ่งถูกใจก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่น มันก็ยิ่งจะคลอดออกไปเป็นความเห็นแก่ตัว เมื่อเรามาดูสัญชาติญาณแห่งความมีตัวล้วนๆ บริสุทธิ์ มันจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว คือสัญชาตญาณที่เดินไปฝ่ายกิเลส ถ้ามันได้รับการปลูก ถ้ามันได้รับการอบรมแวดล้อมที่ดี สัญชาตญาณแห่งความมีตัวจะเดินไปฝ่ายโพธิซึ่งตรงกันข้าม เดี๋ยวนี้ตามธรรมดาที่เป็นอยู่ในมนุษย์นี่มันไม่มี มันไม่มีที่จะเดินไปทางฝ่ายโพธิ เพราะมันปล่อยไปตามเรื่องตามราว ให้เด็กๆ ได้รับความพอใจ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว จนเต็มรูปแบบ สัญชาตญาณแห่งความมีตัวอันบริสุทธิ์ มันจะกลายไปเป็นความเห็นแก่ตัว คือกิเลสไม่ใช่โพธิ ดังนั้นเราจะต้องกั้นกระแส ปิดกั้นกระแสแห่งสัญชาตญาณบริสุทธิ์ ที่มันจะเดินไปฝ่ายกิเลส อย่าให้มันเดินไป ให้มันเดินไปฝ่ายที่ถูกต้อง ให้มันเดินไปทางแห่งโพธิ มันมีจุดเริ่มต้นที่เด็กๆ พอมันเริ่มเกิดขึ้นมันก็เริ่มเดินไปฝ่ายกิเลส ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นตามความเติบโตของเด็กๆ เพราะฉะนั้นเราจะต้องปิดกันกระแสนี้ ให้ถูกต้อง เนี่ยคือเหตุผล เหตุผล เหตุผลข้อเดียวที่จะต้องมีการศึกษาระบบอนุบาล เพื่อกันกระแสสัญชาตญาณของทารก ของเด็กๆ มันให้เดินไปถูกทาง ไปฝ่ายโพธิ อย่าได้เดินไปฝ่ายกิเลสเลย ขอให้วันนี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมจะต้องจัดการศึกษาระบบอนุบาล ขอให้มีความหมายคำคำนี้ที่ถูกต้อง จะไม่เดินตามก้นฝรั่งมากเกินไป อนุบาลของฝรั่งจะเป็นอย่างไรอาตมาก็ไม่ค่อยจะรู้ แต่เชื่อว่ามันไม่เคยมีเรื่องทางจิตใจ และมันก็ไม่มีความหมายอย่างที่ว่านี้ ที่จะควบคุมหรือสกัดกั้นกระแสสัญชาตญาณที่รู้สึกว่ามีตัวเนี่ย อย่าให้เดินไปทางเห็นแก่ตัว กิเลส ให้เดินไปทางโพธิ กิเลสบนความถูกต้อง นี่เป็นเหตุผล อยู่ลึกแต่ก็จำเป็นที่สุดที่จะต้องจัดการ การศึกษาอันนี้ให้ถูกต้อง เอาล่ะเป็นอันว่าเหตุผลของการจัดการศึกษาอนุบาลก็เพื่อจำกัดกระแสสัญชาตญาณของทารกให้เดินไปฝ่ายโพธิ ไม่ให้เดินไปฝ่ายกิเลส ทีนี้ปัญหามันมีอยู่ที่แล้วมามีแต่ปล่อยให้เดินไปฝ่ายกิเลส เพราะไม่มีอะไรควบคุม เพราะเด็กๆ ได้รับการดูแลเหมือนกับเลี้ยงลิงนั่นแหละ เด็กมันชอบจะกินอะไร พ่อแม่ก็มีแต่จะสนองให้เสนอให้ มันจึงเกิดความเข้าใจผิดที่ว่าพ่อแม่จะสนองความต้องการให้แก่เรา เมื่อเราเรียกร้องความพอใจ พ่อแม่ก็แหละก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนอกจากความรัก ความรักก็จะทำให้ตาบอด จะเอาอะไรก็ให้มันทั้งนั้น มันจะเล่นหัว จะสนุกสนาน ส่งเสริมทั้งนั้น นั่นคือส่งเสริมสัญชาตญาณความมีตัวให้ค่อยๆ กลายเป็นความเห็นแก่ตัวไม่มีพ่อแม่คนไหนพาลูกเด็กๆ ไปที่ร้านของเล่นที่แปลกๆ แพงๆ แล้วก็บอกลูกว่าไอ้ทั้งหมดนี้ เค้ามีให้เราโง่นะลูกเอ๋ย ไม่มีใครทำอย่างนี้ มีแต่ว่ามึงจะเอาอะไร กูจะซื้อให้ จะแพงเท่าไหร่ก็ไม่ว่าเนี่ยนั้นมันเป็นอย่างนี้ เรื่องของเอร็ดอร่อย สนุกสนานก็เหมือนกัน ไม่ได้มองในแง่ที่ทำให้เด็กมันโง่ เข้าใจผิด คือหลงใหลในสิ่งนั้น เกิดความเห็นแก่ตัวเป็นแน่นอน นี่มันเป็นปัญหาที่ว่าทำอย่างไรลูกเด็กๆ ของเราจะได้รับการแวดล้อมที่ถูกต้อง อย่างได้เกิดความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นมา เพิ่มขึ้นมา มันโทษใครก็ไม่ได้ ขนบธรรมเนียมประเพณีมันก็เป็นแบบนี้ ทุกคนที่แวดล้อมเด็กก็จะมีแต่พูดว่า ของหนู ของหนู พ่อของหนู แม่ของหนู อะไรก็ของหนู เป็นของหนู เป็นของตัวไปหมด เด็กก็เข้าใจไปทำนองนั้น สัญชาตญาณที่เป็นเพียงความมีตัวล้วนๆ ก็ค่อยกลายเป็นสัญชาตญาณแห่งความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งเลยความพอดี มันเรียกร้องมากเกินไป นี่เราก็ไม่รู้ว่าจะโทษใคร วัฒนธรรมประจำชาติ ประจำบ้านเรือนมันก็ไม่มี ที่จะสอนให้เด็กเล็กๆ เข้าใจถูกต้องมาตั้งแต่เล็กๆ ถ้าว่าเด็กมันเดินไปชนเก้าอี้ พ่อแม่ พี่เลี้ยงก็ตีเก้าอี้ ช่วยกันตีเก้าอี้ ให้เด็กมันหายร้องไห้ เข้าข้างลูก เข้าข้างหนูไว้ นี่มันก็ส่งเสริมความมีตัวความเห็นแก่ตัว เด็กๆ ก็มีความรู้สึกเป็นตัวกู ตัวกู ตัวกู มากขึ้นมา ขึ้นมาตามความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกเป็นของกู ของกู ของกู ขึ้นมาตามความรู้สึกที่มีตัวกูปัญหามันจึงเกิดขึ้น มีบาดนิ้วมือ มันก็บอกว่ามีดบาดกู เอาสิ มันไม่ได้รู้สึกว่ามีดบาดนิ้วมือนิดนึง หรือว่าเหล็กมันผ่านเข้าไปในเนื้อ มันเรียกว่ามีดบาดกู กูจะตาย อะไรก็ไม่รู้ หน้าซีดเป็นลมหมดแล้ว นี่แหละความเห็นแก่ตัวกูมันเจริญขึ้นมาโดยควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็เจริญไปทางฝ่ายกิเลส เป็นความโลภ เป็นความโกรธบ้าง เป็นความหลงบ้าง ถูกใจมากก็รักเป็นความโลภ ไม่ถูกใจมันก็โกรธเป็นความโกรธ ไม่รู้จะเป็นอย่างไรก็หลงวนเวียนอยู่อย่างนั้น สงสัยกันอยู่นั่น ฉะนั้นก็ก็ให้รู้ว่ามันมีเหตุผลที่สุดแล้วในการที่จะจัดการศึกษาอนุบาลให้เป็นรูปเป็นร่าง และถูกต้องตรงตามความจริงของธรรมชาติ เราก็ยังใช้หลักเกณฑ์ของธรรมชาติต่อไปที่จะจัดการศึกษาอนุบาลให้ได้ตามที่ปรารถนา อาตมานึกถึงวัฒนธรรมประจำบ้านเรือนที่จะส่งเสริมให้ลูกเด็กๆ เค้าเข้าใจถูกต้องในสิ่งแวดล้อมทุกๆ อย่างจนไม่เกิดไขว้เขวเป็นอื่น เป็นความโง่ เป็นไสยศาสตร์ เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เป็นความผิดพลาดเข้าใจผิดร้ายแรง คือเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวซึ่งมีปัญหามาก ปัญหาทั้งโลก เราจะต้องจัดการ ที่จะสอนเด็กกันอย่างไร จะอบรมกันอย่างไรในเมื่อลูกเด็กๆ ไม่มีพื้นฐานอะไรมาก่อนเลย ไม่มีความรู้อะไรมาก่อนเลย มันก็มีแต่จะต้องบรรจุเข้าไป ทีนี้จะบรรจุกันอย่างไร เขาไม่มีความรู้พื้นฐานอะไรมาเลย นอกจากตัวกู ของกู กูควรจะได้ตามที่กูต้องการ แม้ที่สุดแต่ว่าความรักพ่อแม่ก็ไม่ได้มีหรอก จนกว่าไอ้ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว พ่อแม่ตามใจ อะไรก็ได้ตามใจ ก็เกิดความรักพ่อแม่เพราะความเห็นแก่ตัว มันก็กลายเป็นส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เราจะให้เด็กเกิดความรู้ที่ถูกต้อง แท้จริงขึ้นมาอย่างไร อาตมาขอเสนอวิธีการสอนด้วยการถาม ให้เด็กเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้เอง ไม่ต้องอาศัยคำสั่งสอน ให้เด็กๆ เขารู้ขึ้นในใจว่ามันเป็นอย่างนั้น ถึงจะถามว่าใครรักเรามากที่สุดในโลก ใครรักเรามากที่สุดในโลกให้คิดอย่างเสรี เด็กๆ ก็จะคิดไปในทางออกที่บอกว่าพ่อแม่ พ่อแม่ เกิดมาเองได้ไหม เกิดมาจากโพรงไม้ไหม เกิดมาจากไหน มันก็เกิดมาจากพ่อแม่ ใครให้นมกิน ใครให้เสื้อ ใครให้ผ้า ใครให้กางเกง ใครให้รองเท้า ใครให้ขนม ใครให้ ให้มันเกิดความรู้สึกออกมาจากเด็กเอง จะถามว่าออมสินไหนบ้างเบิกเงินได้ตะพึดโดยไม่ต้องฝาก เนี่ย เด็กทุกคนจะมองออก ออมสินไหนบ้างเบิกเงินได้โดยไม่ต้องฝาก แล้วมันจะเกิดความรู้สึกในพ่อแม่ ในพ่อแม่ ในพ่อแม่ ในพ่อแม่ เพราะฉะนั้นของให้ฝังหมุดตัวแรกลงไปที่พ่อแม่ หรือความรักพ่อแม่ ฝังหมุดตัวสำคัญตัวหลักฐานลงไปที่ความรักพ่อแม่ เราจะต้องซ้ำทุกวันให้สูงยิ่งขึ้นไป แม้คำถามง่ายๆ ว่า พ่อแม่เกิดมาต้องถาม เพิ่มขึ้นทุกวัน ให้ลึกขึ้นไปทุกวัน ให้เห็นว่าชีวิตนี้ได้มาจากพ่อแม่ ให้ความรู้สึกในพระเดชพระคุณของพ่อแม่มากขึ้นทุกวัน ทุกวันๆ คำถามมีใจความเดียวนั่นแหละแต่ว่าถามให้มากขึ้น ให้ลึกขึ้น ให้สูงขึ้นทุกวัน ทุกวัน เป็นอันว่าฝังหมุดหลักฐานลงไปในจิตใจของเด็กนั้นได้สำเร็จ มีความรักพ่อแม่อย่างสุดชีวิตจิตใจ ด้วยความรู้สึกของเหตุผลที่เกิดขึ้นเพราะเราชักจูง อย่าปล่อยไปตามลำพังว่าพ่อแม่ตามใจเราทุกอย่าง ให้เราได้ของอร่อย ได้ของเล่น เพียงเท่านั้นมันไม่พอ มันจะนำไปทางกิเลส มันจะนำไปทางเห็นแก่ตัว ถ้าจะนำไปทางโพธิมันก็ต้องมีเหตุผลที่ทำให้เขามองเห็นชัดขึ้นมาเป็นเหตุผลเป็นความถูกต้อง ว่าพ่อแม่นี้คือ พระเดชพระคุณ หรือยิ่งกว่าพระเดชพระคุณ ยิ่งกว่าผู้ใด ถ้ามันมีหมุดอันนี้ปักลงไปได้สำเร็จแล้ว อันอื่นมันก็จะเกาะหมุดอันนี้ คุณธรรมอันอื่นมันจะอาศัยเกาะอยู่ที่หมุดอันนี้คือความรักพ่อแม่ ที่จิตใจ โตขึ้นมันไม่สามารถจะทำให้พ่อแม่น้ำตาไหล เดี๋ยวนี้มันไม่มีหมุดตัวนี้ฝังอยู่ในใจ วัยรุ่นทุกคนพร้อมจะทำให้พ่อแม่น้ำตาไหล แล้วก็ได้เป็นอยู่จริง มันจึงเป็นอันว่าต้องฝังหมุดตัวแรกคือรักพ่อแม่อย่างสุดชีวิตจิตใจ เอาละที่นี่เราก็จะดูกันต่อไปว่ามันมีเด็กชนิดไหนที่เราต้องการ เด็กชนิดไหนที่เราต้องการ หรือคำว่าเด็กมันมีความหมายว่าอะไร ได้ยินเขาว่ากันว่าเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า เท่านั้นมันไม่มีความหมายอะไร ใครๆ ก็มองเห็น ต้องมองเห็นให้ลึกกว่านั้น ว่าเด็กมันคืออะไร ควรจะมองกันให้ไกลกันถึงว่า เด็กมันคือผู้สร้างโลกในอนาคต เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลก หรือเป็นผู้ร่วมมือกับพระเจ้าในการจะสร้างโลกในอนาคต ถ้าเด็กของเราเป็นอย่างไรโลกในอนาคตจะเป็นอย่างนั้นไม่ต้องสงสัย มันเหตุผลเกินกว่าเหตุผล เด็กของเราเป็นอย่างไรโลกในอนาคตจะเป็นอย่างนั้น 
หน้าที่ 2 - การฝังหมุดรักพ่อแม่
ฉะนั้นเราสร้างโลกในอนาคตได้โดยสร้างเด็ก หรือผ่านทางเด็ก แล้วเด็กมันก็จะเป็นผู้สร้างโลก จะพูดให้เต็มแบบก็ครูสร้างโลกโดยผ่านทางเด็ก เด็กเป็นผู้สร้างโลก งั้นต้องสร้างเด็กให้ดี ให้เหมาะที่จะไปสร้างโลกให้งดงาม ลองคำนวณดูว่าโลกข้างหน้านั้นจะมีอารยธรรมอย่างไร วัฒนธรรมอย่างไร คุณธรรมอย่างไร มันขึ้นอยู่กับตัวเด็กว่าได้รับไว้อย่างไร เราสร้างเด็กไว้อย่างไรนั่นเอง เราสร้างเด็กให้มีคุณธรรมอย่างไร โลกในอนาคตก็จะมีอย่างนั้น ฉะนั้นของให้มุ่งว่าเด็กเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าผู้ใหญ่จะโง่หรือฉลาดพอจะสร้างเด็กในอนาคตได้หรือไม่ เป็นความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ในปัจจุบัน ที่จะสร้างเด็กให้เป็นผู้สร้างโลกในอนาคตได้หรือไม่ ถ้าเรายุติกันอย่างนี้เราก็เห็นว่าการอบรมเด็ก การให้การศึกษาแก่เด็กให้ถูกต้องนั่นแหละ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นความรอดของมนุษย์ เป็นความรอดของโลกในอนาคต เด็กจะต้องได้การฝังหมุดรักพ่อแม่ อย่างที่ว่ามาแล้วแล้วมันก็ค่อยๆ มีคุณธรรมอันอื่นขยายออกไปเอง ถ้าจุดนี้มันแน่นอนตายตัว ความซื่อสัตย์ต่อพ่อแม่ ความรักพ่อแม่ ความกตัญญูต่อพ่อแม่มันก็จะมีขึ้นมา แล้วมันก็จะมีความอดกลั้น อดทน เสียสละ มีน้ำใจนักกีฬา อะไรให้มันพอ แก่การที่จะตอบสนองต่อพ่อแม่ที่มันรักอย่างสุดจิตใจ นี่หัวข้อหลักๆ มีอยู่อย่างไรก็ให้ลองไปคิดกันต่อ ที่จริงมันก็มีไม่มากนักถ้ามันมีความกตัญญู ความเสียสละ น้ำใจนักกีฬา มันก็พอที่จะสนอง...อันนี้ได้ ทีนี้เราจะลองเหลือบไปดูทางพระพุทธเจ้าว่าท่านตรัสไว้อย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าลูกหรือบุตรไว้หลายๆ รูปแบบ แต่ในที่สุดท่านสรุปไว้ว่า ไอ้บุตรที่เชื่อฟังคือบุตรที่ดีที่สุด (เสโถบุตตานังโยจบุตร) (บุตตานมัสโส) ที่มันเชื่อฟังบิดามารดานั่นแหละที่ดีที่สุด ท่านไม่ได้ตรัสว่าบุตรที่ฉลาดที่สุด หรือที่รวยกว่าบิดามารดา ก็เป็นแต่บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ฉลาดที่สุด เพราะว่าบุตรที่เชื่อฟังมันไม่สร้างปัญหา มันไม่ทำให้พ่อแม่น้ำตาตก มันช่วยยกพ่อแม่ขึ้นมาจากนรกได้ด้วยการหยุดนั่น โดยแท้จริง บุตรที่เชื่อฟังมันทำอะไรได้ทุกอย่าง 
[[53071]]

ทีนี้ปัญหามันเกิดขึ้นมาเพราะว่าบุตรมันไม่รักพ่อแม่มันไม่เชื่อฟังพ่อแม่ มันพร้อมที่จะหลอกลวงพ่อแม่ แล้วบุตรสมัยนี้มันเลวจนถึงว่า มันฆ่าพ่อแม่ หนังสือพิมพ์ยังหาได้แทบทุกเดือนที่บุตรมันฆ่าพ่อแม่ เพราะขัดใจเป็นเสียอย่างนี้ ถ้าบุตรมันเชื่อฟังอย่างเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร ถึงพ่อแม่มันโง่เง่าอย่างไรก็ไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องอะไรขั้นมาได้ งั้นเด็กๆ นี้จะต้องมีหลักการที่ว่ายังเล็กอยู่ยังรู้อะไรด้วยตนเองไม่ได้ก็ต้องเชื่อฟัง ก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ เอออีกข้อหนึ่ง อาตมาจะพูดเดี๋ยวนี้ จะต้องยืนยันว่าเด็กก็จะต้องมีคุณธรรม ธรรมะ ที่สูงสุดที่ใช้ไปนิพพานนั่นแหละ ธรรมะพวกไหนที่ใช้ไปสู่นิพพานก็ต้องเอามาให้เด็ก ใช้ด้วยเหมือนกัน อริยะมรรคมีองค์แปด (โคชงเจ็ด) อะไรก็ตาม ที่เป็นเรื่องไปนิพพานนั่นแหละ ขอให้ลดระดับลงมา ปรับปรุงลงมาจนใช้กับเด็กๆ ได้ เรื่องอริยสัจก็พูดจนเด็กเข้าใจ ทุกข์มันมีเหตุ ดับทุกข์ต้องดับที่เหตุ พระพุทธเจ้าไม่ให้ดับที่ความทุกข์แต่ให้ดับที่เหตุแห่งความทุกข์ เรื่องอริยะมรรคมีองค์แปด ถูกต้องแปดประการนี่เด็กก็ควรจะรู้ แล้วธรรมสูงสุดที่ทำให้บรรลุมรรคผลได้ ที่แปลกหู ที่ไม่เคยได้ยินว่า อตัมมะยะตา รู้จักสิ่งนั้นๆ ดีจนกระทั่งรู้สึกว่าเอากับมันไม่ได้อีกต่อไป คำว่าอตัมมะยะตาแปลว่าไม่อาศัยสิ่งนั้นอีกต่อไป ตัวหนังสือน่ะ แต่ใจความสำคัญก็คือพูดอย่างนี้ พูดได้ว่าอย่างนี้ กูจะไม่เอากับมึงอีกต่อไป การที่เด็กจะละความเลวความชั่ว หรืออบายมุขหรืออะไรของเด็กๆ นั้น ถ้ามันไม่มีความรู้ถึงขนาดเป็นอตัมยตามันก็ละไม่ได้ มันจะเป็นเกเรเสเพลเรื่อยไป มันจะไม่ละเฮโรอีนไปไม่ได้ มันจะละอะไรไม่ได้ไปเสียทุกอย่างที่จะต้องละ เรื่องนี้มันสูง สูงในขั้นที่ว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (ธรรมะจิตตะตา ธรรมะญามะตา ธรรมะปัตตะยะตา สุญญัตตา ตถาตา) ถึงที่สุดแล้วจึงมีอตัมยตาที่จะละสังขาร ละความยึดถือมั่นในขันธ์ห้า หรือในโลก หรือในรูป ในนามอะไรก็ตาม ต้องเห็นอตัมยตา ต้องมีอตัมยตาคือมันรู้ว่ามันเลวจนขนาดที่จะเอากับมันไม่ได้อีกต่อไป สูงสุดเป็นพระอรหันต์นั่นแหละเอามาใช้กับเด็กๆ ได้ คำว่าอตัมยตา มองเห็นชัดว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ อาศัยด้วยกันไม่ได้ เลิกกันที หย่าขาดกันที เด็กๆ ของเราก็จะละอะไรได้ จะละอบายมุขก็ได้ จะละสันดานชั่วๆ ก็ได้ ไอ้คำว่าสูงสุดก็ต้องรู้จักดึงเอาลงมาใช้ เอามาใช้ ได้แก่เด็กๆ อย่างนี้ดูจะไม่สนใจกันเลย ก็จะมีความเห็นตรงกันข้าม ตัดบทเสียทีเดียวว่าเอามาใช้กับเด็กๆ ไม่ได้ อาตมาเคยประสบมาแล้วไม่ต้องออกชื่อว่าใคร เค้ายืนยันอย่างนั้นว่าใช้กับเด็กๆ ไม่ได้ ทุกอย่างที่จะเอามาใช้ปรับปรุงมาใช้กับเด็กๆ ได้ เค้าจะละสิ่งที่ควรละ ทำสิ่งที่ควรทำ คอยนึกถึงข้อนี้ด้วย เอาธรรมะประเสริฐของพระพุทธเจ้าเอามาใช้กับเด็กได้ทุกระดับ ทุกข้อของธรรมะเอามาใช้เป็นบทตั้งสำหรับ ถาม ถาม ถาม ให้เด็กมันรู้สึกได้เอง ถ้ามันไม่รู้สึกว่ามันเลว มันเหลวจนอยู่กับมันไม่ได้ มันจะละได้อย่างไร มันจะละได้อย่างไร เด็กๆ ก็พอจะรู้ เราจะละอะไรที่ครูสอนให้ละ ที่พ่อแม่ต้องการให้ละแล้วจะต้องรู้ถึงเมื่อไม่ได้จริงๆ อยู่กับมันไม่ได้จริง เช่นขันธ์ห้าเนี่ยมายึดถือเอาเรื่องปาทานเป็นของกู กัดเอา กัดเอาเป็นทุข์ เด็กๆ ก็เข้าใจว่ายึดถือสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันกัด รักสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันกัด อันนี้มันก็เข้าใจได้ แล้วก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่น หมายมั่นสิ่งใด้ให้มันกัด มันเป็นความรู้ชั้นอรหันต์แต่นำมาใช้กับเด็กได้ แล้วมันก็เป็นหมันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครเคยเอามาใช้ ไม่เคยคิดจะใช้แล้วก็กลัว กลัวไม่กล้าเอามาใช้ ถ้าเราพูดขึ้นเขาก็ว่าเราบ้าๆ บอๆ อวดรู้ ที่จริงนะธรรมะมันอันเดียวกัน ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าจะในกรณีไหน มันมีหลักการอันเดียวกันที่จะบรรเทาความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกู เด็กๆ ควรจะรู้มาตั้งเล็กๆ เท่าที่ควรจะรู้แล้วก็ขยายขึ้นขยายขึ้น ถึงจะมาเสนอธรรมะสูงสุด อตัมยตา ถ้าเรารู้ว่าอาศัยสิ่งนี้ไม่ได้ต่อไปอีกแล้ว เป็นอยู่ในสิ่งนี้ อาศัยสิ่งนี้ ไม่ได้ต่อไปอีกแล้วขอหย่าขาดจากกัน งั้นใครจะหย่าขาดจากขวดเหล้า จะหย่าขาดจากบุหรี่ จะหย่าขาดจากอะไรก็ขอให้ใช้อตัมยตาเถิด มันจะละได้ เมื่อเด็กๆ มีหมุดฝังลงไปว่าบิดามารดาเป็นที่รักสูงสุด และในโลกนี้ไม่มีใครรักเราไปยิ่งกว่าบิดามารดา ก็สามารถที่จะปลูกฝังความคิดนึกลงไปในลูกเด็กๆ เหล่านั้นว่าเราจะต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เลยออกไปถึงจะต้องเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ บิดามารดาก็เหมือนครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็เป็นบิดามารดาในลักษณะหนึ่ง และนั่นก็จะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน อย่างนี้เราเปรียบเทียบกันในเรื่องจริยธรรม เราต้องการให้เด็กๆ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา เป็นมนุษย์ที่ดีของความเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม ทีนี้ขอให้นึกถึงข้อแรกๆ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดานั่นคืออย่างไร ให้เขาเข้าใจ ให้เขารู้จัก ให้เขาสมัครที่จะเป็น อุทิศที่จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ปัญหาจะได้หมด ถ้าเด็กมันสมัครมอบกายถวายชีวิตเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาแล้วปัญหามันจะไม่มี เพราะมันจะไม่ทำสิ่งที่ขัดใจหรือขัดความประสงค์ของบิดามารดา มันก็เลยทำผิดอะไรไม่ได้ ดังนั้นเด็กๆ จะต้องมีความรู้ครบเรื่องทางวัตถุ ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ แม้ไม่รู้มากเท่าที่ผู้ใหญ่รู้ แต่ก็ต้องรู้ แต่ก็ต้องรู้ ทางวัตถุร่างกายเป็นอย่างไร ทางวัตถุล้วนๆ เป็นอย่างไร ทางร่างกายเนื้อหนังเป็นอย่างไร ทางจิตเป็นอย่างไร ทางวิญญาณคือสติปัญญานั้นเป็นอย่างไร คำนี้มันยืมมาใช้ไม่รู้จะใช้ยังไงดีคำว่าวิญญาณ วิญญาณ เพื่อจะเทียบกับคำว่า spiritual ของฝรั่ง ทางวิญญาณ ให้เด็กๆ รู้ว่าเราก็มีวัตถุอาศัยวัตถุ มีร่างกายอาศัยร่างกาย เราก็มีจิตเป็นเครื่องมืออันสำคัญ เราก็ต้องมีคุณธรรม คุณสมบัติของจิตคือสติปัญญาที่ถูกต้อง ถ้ามันมีจิตล้วนๆ ไม่ได้มีสมาธิก็ทำอะไรไม่ได้ ให้เด็กรู้เรื่องว่าจะต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง จะมีจิตที่ดี มีร่างกายที่ดี แล้วก็จะมีวัตถุ บ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยที่ถูกต้อง จะต้องรู้เรื่องนี้ครบ เดี๋ยวนี้ผู้ใหญ่บางคนก็ยังไม่รู้ ที่จะต้องพูดกันตรงๆ ว่าผู้ใหญ่บางคนก็รู้แต่เรื่องวัตถุ เรื่องกาย เรื่องปาก เรื่องท้อง ไม่รู้เรื่องชีวิตจิตใจ ไม่รู้เรื่องทางวิญญาณ แล้วจะสอนเด็กให้รู้เรื่องเหล่านี้อย่างไรได้ ฉะนั้นขอให้เด็กได้รู้เถอะว่ามันมีเรื่องเป็นเรื่องๆ เรื่องวัตถุในบ้านเรือนของเราจะต้องถูกต้อง วัตถุสิ่งใช้ไม้สอยอะไรก็ตาม ร่างกายของเราจะต้องถูกต้อง จะต้องมีคุณสมบัติดีเต็มที่ จิตของเราจะต้องมั่นคง ต้องมีกำลัง ต้องมีสติปัญญาความรู้ของจิตที่ถูกต้อง มีความคิดความเป็นเป็นสัมมาทิฐิ ทรัพย์สมบัติอันเลิศ เดี๋ยวนี้เด็กไม่ได้รับคำสั่งสอนให้จัดเป็นแผนกๆ ให้จัดให้มันถูกต้องอย่างนี้ รู้จักแต่เรื่องเอร็ดอร่อยสนุกสนาน บูชาสิ่งเหล่านั้น มันก็เลยเป็นรากฐานของกิเลศ เป็นการส่งเสริมของกิเลสไม่มีที่สิ้นสุด ทางฝ่ายโพธิมันก็รกปิดตันไปเลย 
[[53079]]

แล้วมันจะมีไอ้ความรู้ที่เป็นสติปัญญาได้อย่างไร แต่ก็สงสัยเหมือนกันว่าพูดอย่างนี้จะเกินไปแล้วก็ได้ บางคนอาจจะเห็นว่าบ้าแล้ว พูดเกินไปแล้ว แต่อาตมาว่าไม่เกินหรอก เด็กๆ ควรจะต้องรู้ถึงขนาดนี้แม้ในระดับเบื้องต้น ในระดับพื้นฐาน เด็กๆ ก็จะต้องรู้ต่อไปถึงเรื่องความจริง ความจริงของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติ ธรรมชาติอันแท้จริง ไม่งมงายเป็นไสยศาสตร์ ไม่มีปัญหาเรื่องผีๆ สางๆ เรื่องอะไรเหล่านี้ที่ผู้ใหญ่ทำให้เค้าโง่ เด็กในท้องไม่กลัวผี ไม่รู้จักกลัวผี มารู้จักกลัวผีเมื่อผู้ใหญ่มาพูดในทำนองว่ามันโง่ ถามเด็กๆ ดีสิว่าหมากลัวผีไหม หมากลัวผีไหม เอาไปดูกันป่าช้าตามที่ไหนก็ตาม ถ้าหมาไม่กลัวผีทำไมหนูจะต้องกลัวผีเล่า
หน้าที่ 3 - ลัทธิ animism
ที่นี้มันรู้ว่าธรรมชาติแท้ๆ นั้นมีอยู่ ให้รู้ว่าธรรมชาติแท้ๆ เป็นอย่างไร อย่าให้เรื่องไสยศาสตร์เข้ามาฝังหัว จนผิดไปหมด ยุ่งไปหมด ให้อาศัยหลักของธรรมชาติที่เฉียบขาด แน่นอน ตายตัว เป็นกระแสแห่งเหตุและผล เกิดความคิดโง่ๆ ขึ้นมาเพราะเหตุและผลก็ไม่ถูก เกิดความคิดฉลาดขึ้นมาเพราะเหตุผลก็ถูกต้อง ให้เป็นผู้อยู่ในอำนาจของเหตุผลตลอดไป ฉะนั้นการสอนให้มองเห็นให้ลึกลงไปตามหลักธรรมะชั้นสูงน่ะไม่เสียหลายหรอก ให้เด็กรู้ว่าจิตมันคิดนึกได้เองโดยไม่ต้องมีอัตตา โดยไม่ต้องมีอะไร โดยไม่ต้องมีผีสาง ไม่ต้องมีเทวดาที่ไหนเข้ามาช่วย ร่างกายระบบประสาทมันรู้สึกอะไรได้เอง ไม่ต้องมีผีมีอะไรมาช่วยทำความรู้สึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีระบบประสาทที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นได้เอง ไม่ต้องมีอัตตา อัตตาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำหน้าที่ จิตรู้สึกเวทนาได้เอง ไม่ต้องรู้สึกมีอัตตามาช่วย จิตทำได้เอง ไม่ต้องรู้สึกมีสัญญา จำได้หมายมั่นอะไรได้เอง อัตตาไหนมาช่วยจิตคิดนึกได้เอง ถ้าเป็นวิญญาณทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้สึกได้เอง ไม่ต้องผี ไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องเทวดา ไม่ต้องมีเจตภูต ไม่ต้องมีอะไรที่ไหนมาช่วย ให้เด็กมันมีความรู้ที่ถูกต้องอย่างนี้ แต่ว่าข้อนี้ก็น่าเห็นใจ ก็น่าเห็นใจทั้งหมดแหละว่ามนุษย์ที่แหลมทองสุวรรณภูมินี่ ศาสนาฮินดูเข้ามาก่อน ศาสนาพราหมณ์เข้ามาก่อน มาฝังความรู้อย่างฮินดู อย่างพราหมณ์ไว้ก่อนอัตตา มีเจตมัน มีอาตมัน เจตภูตมีอะไรแบบนี้ ไว้เสียแน่นแฟ้นเสียก่อน มันก็จะเข้ารูปความรู้เดิมๆ ของคนป่าเสียด้วย มันฝังไว้แน่นแฟ้นว่ามีเจตภูต มีอาตมัน พอพุทธศาสนาเข้ามาถึงมันก็ยากเหลือเกินที่จะถอนราก ก็อันนั้นมันฝังแน่นอยู่ก่อนมันก็ฝังแน่นอยู่จนบัดนี้ ในจิตใจของพุทธบริษัท ทั้งศาสนาฮินดูและพุทธ ถือทั้งฮินดูและพุทธศาสตร์ น่าเห็นใจ รับเอาอย่างฮินดูเข้าไว้เต็มที่ และบอกลูกเด็กๆ ว่านี่เป็นพุทธเสียด้วย หลอกลูกเด็กๆ ว่าเป็นพุทธเสียด้วย ที่มีการบูชาเซ่นสรวงแบบนั้นน่ะ 
[[53072]]

แต่วัตถุในพระพุทธศาสนามันก็เลยยุ่งหมด เด็กๆ ก็ยุ่งไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแน่ เด็กๆ จะต้องรู้ว่าอะไรเป็นไสยศาสน์ อะไรเป็นพุทธศาสนตร์ ค่อยๆ บอกให้เขารู้ ค่อยๆ บอกให้เขารู้ แต่ถ้าพ่อแม่ไม่รู้ใครจะบอก เพราะฉะนั้นมันเลยมีปัญหายากอย่างนี้ กลายเป็นปัญหาทางการศึกษาอย่างนี้ เลยกลายเป็นว่าเราตกลงกันทั้งพ่อแม่ และทั้งลูกให้มีความเข้าใจถูกต้อง เรื่องความเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุผล ให้รู้ว่าจิตมันลึกลับซับซ้อน มันทำอะไรได้บ้างเราจึงจะเข้าใจจิต ต่อสิ่งที่เรียกว่าจิตกันมากมาย เรื่องทางไสยศาสนต์ก็เกิดขึ้นอย่างนี้ขอให้ระวังกันให้ดี ทีนี้เด็กๆ เนี่ยควรจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตตามสมควร แม้จะไม่รู้หมด รู้ในขนาดที่ว่าจิตเป็นสิ่งที่อบรมได้ สำคัญ จิตเป็นสิ่งที่อบรมได้ก็หมายความว่า เปลี่ยนแปลงได้ ให้รู้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ตายตัว ถ้าเด็กมันรู้ว่าจิตเป็นสิ่งที่อบรมได้ เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ มันก็จะทำอย่างไร ให้มันเป็นจิตที่ดี ให้มันรู้ว่าดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร จิตที่มีประโยชน์อย่างไร ไม่มีประโยชน์อย่างไร นอกจากว่าจิตเป็นสิ่งที่อบรมได้แล้วร่างกายก็เป็นสิ่งที่อบรมได้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้เหมาะสมกับจิตได้ การอบรมแต่จิตมันก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าร่างกายไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นร่างกายก็เป็นสิ่งอบรมได้เช่นเดียวกับจิต ฉะนั้นของให้เราอบรมพร้อมๆ กันไป ทั้งร่างกายและจิต ให้ร่างกายเป็นพื้นฐานของจิต ความคิดนึกนี้ยังไม่มีที่สิ้นสุด ยังจะเป็นไปอีกมาก แต่เราจะต้องรู้ว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น อะไรจำเป็นก่อน อะไรจำเป็นต้องมีเดี๋ยวนี้ อะไรรอก่อนก็ได้ จนเห็นว่าไอ้การทำให้หมดปัญหา ทำให้หมดความทุกข์นี่จำเป็นที่สุด อย่าให้พ่อแม่ต้องน้ำตาไหล อย่าให้ตัวเองต้องน้ำตาไหล ถูกต้องที่สุด จำเป็นที่สุด แม้กระทั่งว่าให้เด็กมันรู้ว่าผู้ใหญ่หวังให้เราจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต มันอาจจะทำให้เด็กอวดดีไปก็ได้ แต่เราก็มีวิธีพูดที่จะทำให้เด็กไม่อวดดี เพียงแต่รู้ว่าเขาหวัง บิดามารดาเค้าหวังให้เราเป็นผู้สร้างโลกในอนาคตทีงดงามที่น่าอยู่ ให้รู้จักความรับผิดชอบอันนี้ อย่าปัดความรับผิดชอบอันนี้ ฉะนั้นจะสอนได้ไม่ว่าจะลูกทารก ลูกเด็กๆ อายุน้อยๆ มันจะได้เตรียมตัวที่จะเป็นผู้ดี เป็นคนที่ดี ที่มีคุณค่า จะอวดดี จะหยิ่งผยองไปบ้างก็ไม่เป็นไร ถ้ามันจะหยิ่งผยองไปในทางที่ว่าเราจะเป็นผู้สร้างโลกในอนาคต ไม่เสียหายอะไร มันก็ค่อยรู้ได้เอง โตขึ้นก็ก็ค่อยรู้ได้เองแหละว่าควรจะทำอย่างไร เมื่อไร เพียงใด ก็จะรู้ได้เอง แต่ขอให้เขารับในความรู้สึกที่เราเป็นคนที่มีค่า มีความรู้สึกสูงสุดว่า self respect เราเคารพคุณค่าของเรา คุณค่าอันสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ มันอยู่ที่ความเป็นมนุษย์ของเรา จะปรับปรุงความเป็นมนุษย์ให้ดีที่สุดให้เด็กเขายอมรับอย่างนี้ ทีนี้เขาก็จะเตรียมตัวสำหรับที่จะเป็นอย่างนั้น ความรู้ยังไม่เพียงพอ อาจจะอวดตัวไปบ้าง อาจจะเบ่งไปบ้างก็ไม่เป็นไร แล้วมันก็จะหายไป ลดลงมาเหลือว่าทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ทำหน้าที่กันอย่างไร นี่เราจะมีเด็กลักษณะอย่างนี้ นี่เรื่องเด็กที่เราต้องการลักษณะอย่างนี้ ทีนี้เราจะทำได้หรือไม่ในการเตรียมเด็กของเราให้เป็นอย่างนี้ ทีนี้ก็จะมองดูไปทิศทางอื่นต่อไปว่า จะให้เด็กของเรารู้จักพระพุทธเจ้าในลักษณะอย่างไร เราจะมีพระพุทธเจ้าอย่างไหนให้แก่เด็กของเรา งั้นเดี๋ยวนี้มันมีอะไรก็จะโทษใครไม่ได้ เพราะเด็กเขาเข้าไปในโบสถ์ โบสถ์ที่ศักดิ์สิทธิ์หรือที่สูงสุดที่แพง เด็กก็เริ่มเข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้า เพราะนั่งอยู่บนบัลลังงาช้างหลายๆ ชั้นมีเศวตฉัตรกั้นอยู่บนศีรษะ พอเด็กเห็นภาพอย่างนี้เด็กจะเข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้าทันที ทางที่จะเดิน ทิศทางจะไปทางไหนก็ไม่รู้ ไม่มองเห็นว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในกระท่อม อย่างกระท่อมคนขอทานนั่นแหละ มันไม่เคยรู้มันไม่เคยมองเห็น ไปดูสิซากพระกุฏิทั้งหลายมันไม่ได้ดีไปกว่ากระท่อมคนขอทานเลย อย่าไปดูหลังที่เขาเสริมสร้างให้ใหญ่โตมโหฬารนั่นมันรุ่นหลังทั้งนั้นแหละ พระคันธกุฏิในยุคแรกแท้ๆ มันก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่ากระท่อม แล้วพระพุทธเจ้าจะมานั่งอยู่บนบัลลังค์งาช้างและเศวตฉัตรได้อย่างไร ทีนี้มันก็ลำบากเสียแล้วที่จะทำให้เด็กๆ รู้จักพระพุทธเจ้า เพราะว่าพอเขาเข้าไปในโบสถ์เขาก็รู้จักพระพุทธเจ้าในลักษณะที่ผิดความจริงเสียแล้ว จะอธิบายกันได้ไหม จะอธิบายกันได้ไหมให้เด็กๆ เขารู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างไร มีชีวิตอย่างไร แล้วเด็กก็จะเข้าใจว่าในพระพุทธรูปนั้นมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่เพราะผู้ใหญ่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น 
[[53080]]

เป็นลัทธิ animism ของคนป่า มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สิงอยู่ในรูปเคารพ นั่นน่ะลัทธิ animism ของคนป่าแล้วเราก็ทำให้เด็กๆ เข้าใจอย่างนั้น พระพุทธรูปองค์นี้ต้องเราของอย่างนี้ไปถวาย พระพุทธรูปองค์นี้ต้องเอาไข่อย่างเดียวไปถวาย มันทำให้เกิดความคิด ความเข้าใจผิดต่อพระพุทธรูป ในฐานะที่เป็นสิ่งที่มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในนั้น ทำอย่างไรให้เด็กรู้จักพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้อยู่ต่ำที่สุด ธรรมสูงที่สุด ช่วยโลกทั้งโลกทุกๆ โลก ท่านมีการเสียสละเหลือประมาณ ไม่มีใครเสียสละเท่า ไม่มีรถยนต์ท่านเดินด้วยเท้าไปไหนที่ท่านจะไปโปรดไปสอน ท่านไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิต เช่นเกวียน เช่นรถม้า ท่านไม่นั่งเพราะมันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต เพราะฉะนั้นท่านก็ต้องเดิน เดิน การเดินเป็นโยชน์ๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของพระพุทธเจ้า และท่านก็ทำได้ด้วยความเสียสละ ก่อนจะตื่นเช้าตอนหัวรุ่ง ท่านนึกว่าวันนี้จะไปโปรดใคร ท่านก็ไปโปรดจนได้ ไปบิณฑบาต ไปโปรดจนได้แหละ จะเป็นคนชนิดไหนก็ตาม ไปฉันที่นั่น ไปพูดที่นั่น ไปทำให้เขาเกิดความเข้าใจถูกต้อง จะเป็นเศรษฐี เป็นคหบดี เป็นชาวนา เป็นพ่อค้า เป็นอะไรก็แล้วแต่ บางทีก็ไปโปรดลัทธิอื่นก็มี เที่ยงพักผ่อนบ่ายมาที่วัดก็สอนคนที่ไปหาที่วัด ประชาชนที่ไปหาที่วัดน่ะก็สอนตอนบ่าย พอตอนค่ำก็สอนพระเณรประจำวัด พอตอนดึกก็สอนเทวดา บาลีมันมีอย่างนั้น (อัถลัตเตเทวดาปัญตานัง) เทวดาพระราชา เทวดามาหาตอนดึกทั้งนั้นเลย บาลีมันมีอย่างนั้น ถือกองทัพคบเพลิงไปหาพระพุทธเจ้าเวลาดึก หรือว่าพระเจ้าอชาตศัตรูแผ่นดินก็ไปหาพระพุทธเจ้าเวลาดึก พักผ่อนหน่อยก็ตอนหัวรุ่งและยากด้วยสองโลกจะไปโปรดใคร ท่านทำงานครบวงจรเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ขอให้เด็กมองเห็นพระพุทธเจ้าท่านทำงานอย่างนี้ เหน็ดเหนื่อยอย่างนี้ ท่านก็ไม่ได้รับค่าจ้างเงินเดือนอะไรที่ไหน ท่านอยู่อย่างคนขอทาน รับประทานอาหารอย่างเดียวกับคนขอทาน ท่านทำอย่างนี้ ให้เด็กรู้จักพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องเสียทีเถอะ เค้าจะได้มีความคิดจะเอาอย่างว่าอยู่ให้มันต่ำที่สุด ทำให้มันสูงที่สุด สูงยิ่งกว่าเทวดา เราจะพยายามให้เด็กเข้าใจข้อเท็จจริงอันหนึ่งว่า พระพุทธเจ้ามีพระคุณยิ่งกว่าพ่อแม่ ยิ่งกว่าพ่อแม่ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านช่วยให้พ่อแม่ของเราเดินถูกทาง ให้พ่อแม่ของเราปฏิบัติถูกทาง ให้พ่อแม่ของเราสามารถคลอดบุตรเลี้ยงบุตรได้โดยถูกทาง ท่านช่วยให้พ่อแม่ของเราเดินถูกทาง
หน้าที่ 4 - พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ถ้าพ่อแม่ของเราเดินไม่ถูกทาง เราก็ไม่ได้เกิดมา เพราะพ่อแม่ของเราทำผิดหมด พระพุทธเจ้าจะต้องมีพระคุณมากกว่าพ่อแม่ ให้เขาฝังความรู้สึกอันนี้ลงไปในพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง พ่อแม่คลอดเรามาเลี้ยงเรามา อบรมเรามา สั่งสอนเรามา ช่วยเหลือเรามาก ก็เพราะการนำของพระพุทธเจ้า ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ที่ไหน ลูกเด็กๆ ก็มีพระพุทธเจ้าที่พระพุทธรูปอย่างที่กล่าวแล้ว เพราะผู้ใหญ่สอนให้คิดอย่างนั้นว่าพระพุทธรูปคือพระพุทธเจ้า ก็เชื่อตามที่คิดเอาเองว่าจะเป็นอย่างไร ไอ้คนที่ได้รับการศึกษาก็เชื่อว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธาตุ พระสารีริกธาตุ พระบาท พระอะไรก็ตาม คิดว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น ทีนี้ก็เป็นพระพุทธเจ้าชนิด สำหรับผู้ที่มีปัญญาเพียงเท่านั้น ทีนี้คนที่มีการศึกษาธรรมดาๆ แม้ในระดับมหาวิทยาลัย ก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ สอนอยู่ที่ประเทศอินเดีย มา 50 ปี เกิดแล้วก็ตายแล้ว มันก็เท่านั้น นี่การศึกษาที่คนธรรมดารู้จักพระพุทธเจ้า 
[[53074]]

แต่พระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธพระพุทธเจ้าในลักษณะนั้น ท่านตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดไม่เห็นธรรมแม้จะจับจีวรเราไว้ก็ไม่เห็นเรา ไม่ได้ชื่อว่าเห็นเรา ทีนี้พระพุทธเจ้าชนิดนี้ใครเห็นบ้าง ใครมีบ้าง ลูกเด็กๆ ยังไม่อาจจะมี เพราะฉะนั้นเขาก็มีพระพุทธรูปไปก่อน มีพระธาตุไปก่อน มีอะไรต่ออะไรตามความรู้ที่เรียนมาในหนังสือไปก่อน ตามที่เด็กๆ เรียนมาท่องมา พระพุทธเจ้าก็คือบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ จนกว่าเด็กๆ จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนี่คือธรรมะ ธรรมะอะไร ธรรมะที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปอีกแห่งหนึ่งว่า ผู้ใดเห็นปฏิจสมุทบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจสมุตบาตร ปฏิจสมุตบาทก็คือวิธีที่รู้ว่าอาการทุกข์มันเกิดขึ้นอย่างไร อาการทุกข์มันดับลงไปอย่างไรนั่นแหละ อาการมีทุกข์มันเกิดและดับลงอย่างไรเรียกว่าปฏิจสมุตบาท ผู้ใด้เห็นปฏิจสมุตบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ทีนี้ก็เห็นว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ดับลงไป ความทุกข์อย่างไร ดับทุกข์ไปได้นั่นเอง ที่ว่าเห็นธรรมคือเห็นเรา ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านพระองค์จริง ที่พระพุทธองค์ประสงค์จะให้คนรู้จัก และท่านก็ตรัสว่า ธรรมะที่แสดงแล้ว วินัยที่บัญญัติแล้วจะอยู่เป็นพระศาสดาของพวกเธอทั้งหลายในเวลาล่วงลับไปแล้วแห่งเรา พระศาสดาพระองค์จริงที่ดับทุกข์ได้น่ะ จะอยู่กับท่านตลอดไป ไม่เคยตาย ไม่เคยตาย เราก็มีโอกาสที่จะบอกเด็กๆ ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่เคยตาย พร้อมที่จะปรากฏขึ้นในจิตใจของเราเมื่อไรก็ได้ที่ไหนก็ได้ ขอให้เราพยายามให้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเกิดขึ้นในจิตใจของเรา คือดับทุกข์ได้ ปัญญาที่ดับทุกข์ได้ ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ หรือจะเอาจิตก็ได้ที่มันมีความรู้จนดับทุกข์ได้ เนี่ยแหละคือพระพุทธเจ้า เรามีพระพุทธเจ้าชนิดนี้กันเถิด แม้ว่าเดี๋ยวนี้เราจะมีน้อย ก็ขอให้เรามีมาก มาก มากขึ้นไปจนดับทุกข์ได้หมด เราก็มีพระพุทธเจ้าหมด มีอยู่ในเรา หรืออาจจะพูดได้ว่าเราก็เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเหมือนกันแม้แต่องค์น้อยๆ อย่างนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดหรอกโดยเฉพาะฝ่ายเถรวาทที่เคร่งครัดอย่างนี้จะไม่กล้าพูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง แต่ถ้าฝ่ายมหาญาณเขาอิสระเขากล้าพูด ทำจนดับทุกข์ได้เหมือนพระพุทธเจ้า เราก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็เต็มไปหมดทั้งจักรวาล เด็กๆ ก็จะกล้าคิดว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เราทำให้มีขึ้นมาได้ในเรา ดังที่ท่านตรัสว่าจะอยู่กับพวกเธอทั้งหลายตลอดกาล แม้ว่าร่างกายนี้จะดับไปแล้ว พระพุทธเจ้าแม้สำหรับเด็กๆ ก็ควรจะได้รู้อย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้พ่อแม่ของมันก็ไม่รู้ จะสอนให้เด็กๆ รู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการจัดการศึกษาอนุบาลให้เด็กๆ รู้จักพระพุทธเจ้าได้สักเท่าไรนั้นไปพิจารณากันดูเถิด จะเอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดิมอยู่เรื่อยไปเด็กก็ไม่รู้จักโต แล้วมันก็จะมีความผิด เห็นผิดที่เดินผิดทางสติปัญญา ทางสัมมาทิฐิ รีบประดิษฐานพระพุทธเจ้าที่มีความหมายถูกต้องลงไปในจิตใจของเด็ก เด็กๆ ก็จะมองเห็นว่า พิธีพุทธาพิเษกที่เขาทำกันนั่นเป็นเรื่องเด็กเล่น เป็นเรื่องเล่นละคร จะเสกก้อนอิฐก้อนหินให้เป็นพระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องเด็กเล่น พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นจะทำกันอย่างนั้นไม่ได้ จะเสกกันอย่างนั้นไม่ได้ ปัญญาที่ช่วยเราดับทุกข์ได้นั่นแหละ แม้แต่การศึกษาเล่าเรียนของเราในโรงเรียนที่จะช่วยเราดับทุกข์ได้ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าเต็มรูปแบบในที่สุด ขอให้เด็กเตรียมตัวที่จะมีพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องอย่างนี้ตั้งแต่เล็กๆ การที่เด็กๆ จะสร้างโลกในอนาคตเป็นสิ่งที่มีหวังได้ หวังได้ เด็กๆ จะสร้างโลกในอนาคตได้ ให้เขารู้จัดพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องในลักษณะเช่นนี้ ทีนี้ก็พูดถึงพระธรรมบ้าง พระธรรมบ้าง เด็กๆ ก็เป็นธรรมดาที่รู้อย่างที่พ่อแม่บอกให้รู้ พระธรรมก็คือใบลาน คือตู้พระไตรปิฎก คือเล่มพระไตรปิฎก หรือแม้แต่เสียงที่พระเทศออกไปแจ้วๆ นี้ก็เป็นพระธรรมเด็กเค้าก็รู้เท่านั้น เด็กไม่รู้ว่าพระธรรมคืออะไร มันก็อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไอ้ความรู้ที่ดับทุกข์ได้และปฏิบัติตามนั้นแล้วดับทุกข์ได้ เกิดผลขึ้นมาเป็นการดับทุกข์ไปตามนั้นคือพระธรรม พระธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่ตู้ใบลาน ไม่ใช่ตู้พระไตรปิฎก ไม่ใช่เสียงแสดงธรรม หรือไม่ใช้อะไรที่เป็นวัตถุ แต่เป็นความรู้ เป็นการกระทำ เป็นผลของการกระทำที่มันดับทุกข์ได้ เหมือนที่เด็กๆ เรียนหนังสือในโรงเรียน เรียนให้รู้เพื่อจะประกอบอาชีพ แล้วก็ไปประกอบอาชีพ แล้วก็ได้ผลจากการประกอบอาชีพ ทั้งหมดนี้มันมีลักษณะอย่างไร พระธรรมก็มีลักษณะอย่างนั้นแหละ ขอให้เด็กเตรียมตัวรู้จักพระธรรมกันยิ่งๆ ขึ้นไป อย่ามัวเห็นตู้พระธรรม ตู้พระไตรปิฎก คัมภีร์ ใบลานหรืออะไรที่เขาเรียกๆ กัน เค้าใช้ทำพิธีกัน อันนั้นเป็นเรื่องพิธี บอกให้รู้มันเป็นเรื่องพิธี ความจริงมันอยู่ลึกกว่านั้น มันเป็นตัวที่เป็นของจริง ให้เด็กเค้ารู้จักพระธรรมเป็นตัวตั้งต้นที่ถูกต้องกันเสียอย่างนี้ มันก็จะง่ายขึ้น อนุบาลจะรู้เท่าไหร่ ประถมจะรู้เท่าไหร่ มัธยมจะรู้เท่าไหร่ ก็จะไปแนวเดียวกันนี้ ทีนี้มารู้จักพระสงฆ์กันเสียบ้าง ไม่ใช้แค่คนที่เอาผ้าเหลืองมาห่ม เด็กๆ มันรู้จักเพียงเท่านั้น เด็กทารกก็รู้จักเพียงเท่านั้นเพราะพ่อแม่เค้าบอกเพียงเท่านั้น ไอ้ตัวที่เหลืองๆ มาแล้วโว้ย ก็ยกมือไหว้สาธุ สาธุ มันก็รู้เพียงเท่านั้น ให้เค้ารู้ว่าพระสงฆ์คือผู้ที่ประสบความสำเร็จในการดับทุกข์ตามแบบของพระพุทธเจ้า แล้วยังจะสืบวิชาอันนี้ไว้ให้คนชั้นหลังตลอดกาลนิรันดร พระสงฆ์ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าดับทุกข์ได้แล้วจะสืบการปฏิบัตินี้ไว้สำหรับคนชั้นหลัง พวกเราตลอดไป พระสงฆ์คืออย่างนั้น ไม่ได้เพียงแต่ว่าห่มเหลืองแล้วจะเป็นพระสงฆ์ เด็กๆ ก็จะไม่หลงในพระสงฆ์ หลงๆ กันอยู่จนเกิดเรื่องเกิดราวที่ไม่น่าดู ทีนี้เราต้องการให้เด็กรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สำหรับเด็กที่เป็นจุดตั้งต้นอย่างนี้ มันคงจะทำได้น้อย ในชั้นอนุบาล แต่มันทำได้ ถ้าไม่ทำไว้แต่ชั้นอนุบาล สัญชาตญาณน้อมไปในทางกิเลสเป็นหญ้ารกปกปิดเสียหมดแล้ว มันก็ยากที่จะทำ ฉะนั้นจึงนึกถึงคำพูดเบื้องต้นว่าเหตุผลที่จะทำแก่เด็กๆ ชั้นอนุบาลนั้นมันมีเหตุผลอย่างนี้ เพราะว่าสัญชาตญาณของมันกำลังจะแปรไปในทางกิเลส นี้มันแปรไปในทางกิเลส อย่าให้มันเพิ่งแปรใส่อะไรเข้าไว้ไปเสียก่อนมันจะได้อยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นพยายามให้เค้ารู้จักตัวเองอย่างไร รู้จักพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไร ก็รีบทำกันเสียเถิดที่จะทำได้ ทีนี้ก็มีเรื่องต่อไปที่ว่าควรจะพูด เราจะสอนเด็กให้รู้จักสิ่งสูงสุด ขอใช้คำว่าสิ่งสูงสุด จะไม่ใช้คำว่าพระเป็นเจ้าหรือพระพุทธเจ้า หรืออะไรที่เค้าใช้กัน คำว่าสิ่งสูงสุดนั้นมันเป็นคำรวมดีที่สุด สูงสุดเพราะเราต้องเคารพ เพราะเราต้องเชื่อฟัง เพราะเราต้องปฏิบัติตาม เพราะเราต้องมีให้อยู่กับเราให้จนได้ เรียกว่าสิ่งสูงสุด ถ้าถือว่าศาสนามีพระเจ้า เขาก็ถือว่าพระเจ้านั่นแหละเป็นสิ่งสูงสุด เข้าไปอยู่เป็นอันเดียวกับพระเจ้าก็เป็นสิ่งสูงสุดที่พระเจ้า แล้วเราชาวพุทธจะมีอะไรเป็นสิ่งสูงสุด เด็กๆ อาจจะตอบว่ามีพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสิ่งสูงสุด ก็ได้เหมือนกัน แต่เราอยากจะถามว่าพระพุทธเจ้าเคารพอะไร นี้เด็กยังไม่รู้ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพธรรมะ อันนี้คือหน้าที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง เมื่อท่านตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ท่านก็สงสัยคราวนี้จะเคารพใครเมื่อตรัสรู้แล้ว คิดไปคิดมาก็เคารพธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ แล้วท่านก็เคารพหน้าที่ เด็กๆ ของเราต้องรู้ว่าเหนือพระพุทธเจ้าขึ้นไปยังมีสิ่งที่เคารพ สิ่งนั้นคือหน้าที่ 
[[53081]]

ทีนี้ก็มีบอกเรื่องหน้าที่ หน้าที่อะไรจะช่วยให้เรารอด ไม่ตายและไม่เป็นทุกข์ อะไรที่จะช่วยให้เรารอด พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ท่านบอกว่าให้ทำตามหน้าที่อย่างนั้น อย่างนั้นแล้วท่านจะรอด ท่านกลับมอบหมายให้ทำหน้าที่อย่างนั้นอย่างนั้น แล้วมันจะรอด เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยให้เรารอดก็คือหน้าที่ที่เราปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงกำชับว่าต้องเป็นที่พึ่งแห่งตัวเอง หมายความว่าต้องช่วยตัวเอง ต้องทำหน้าที่ด้วยตนเอง หน้าที่ก็จะช่วยคนผู้นั้น เพราะฉะนั้นสิ่งสูงสุดก็คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ พระพุทธเจ้าท่านทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีใครเปรียบได้อย่างที่เล่ามาเมื่อตะกี้นี้ ครบวงจรจนกระทั่งสิ้นชีวิต จะดับขันธ์ปรินิพพานอยู่หยกๆ แล้วยังมีคนมาขอให้สอน ปริพาชกคนสุดท้ายน่ะ พระสงฆ์ทั้งหลาย โอ้ มันจะเกินไปแล้วจะปรินิพพานอยู่แล้ว ไป ไป ไล่ไปเสีย พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าไล่ อย่าไล่ ให้เขาเข้ามา พระพุทธเจ้าก็สอน สอนปริพาชกคนนี้จนบรรลุธรรมถึงที่สุด เป็นพระอรหันต์ เป็นสาวกองค์สุดท้าย ต่อมาไม่กี่นาทีท่านก็นิพพาน ดูสิท่านเคารพหน้าที่กี่มากน้อย แล้วเราเคารพหน้าที่อย่างนี้หรือเปล่า เดี๋ยวนี้คนในโลกนี้มีแต่ ขบถหน้าที่ หลอกลวงหน้าที่ เอาเปรียบหน้าที่ โกหกหน้าที่ ไม่เคารพหน้าที่โลกมันจึงวุ่นวาย
หน้าที่ 5 - สิ่งสูงสุด คือ หน้าที่
ถ้าเราเคารพหน้าที่ปัญหามันจะหมด ฉะนั้นสิ่งสูงสุด คือ หน้าที่ สูงจนพระพุทธเจ้าก็เคารพ เพราะมันสูงจนไม่มีใครช่วยได้นอกจากหน้าที่ เราอาจจะบอกเด็กๆ ได้ว่าให้พระเจ้า พระเป็นเจ้ามาสักฝูงหนึ่งมันก็ช่วยไม่ได้ ถ้าคนนี้มันไม่ทำหน้าที่เอง ถ้าคนๆ มันไม่ทำหน้าที่อะไรเลยให้พระเจ้ามาสักฝูงหนึ่งก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ช่วยได้จริงๆ ก็คือหน้าที่ หน้าที่นี้รู้จักกันมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าเกิดโน่น แต่เป็นหน้าที่ต่ำๆ แล้วหน้าที่ก็รู้จักสูงขึ้นมา สูงขึ้นมา จนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านสอนหน้าที่สูงสุด บรรลุมรรคผลนิพพานก็เรียกว่าหน้าที่อยู่นั่นแหละ ทุกคนจะต้องรู้ว่าหน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอดตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพธรรมะคือหน้าที่ ท่านทำหน้าที่ของท่านแล้ว ท่านช่วยให้ผู้อื่นได้ทำหน้าที่ช่วยตัวเองด้วย พระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนี้ จึงให้ถือว่าสิ่งสูงสุดนั้นคือหน้าที่ แล้วก็ขยายออกไปอีกคำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนอกจากหน้าที่ หน้าที่ที่ถูกต้องคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกไม่รู้ว่าอะไรบ้าๆ บอๆ ก็ได้ ขอให้รู้ว่าหน้าที่ตรงนี้ ที่ถูกต้องคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แท้จริงที่ช่วยให้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ฉะนั้นจะไปอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกให้มันป่วยการ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มันอยู่ที่หน้าที่ที่เรากระทำไปโดยถูกต้องแล้วมันจะช่วยยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าเราทำหน้าที่ไม่ถูกต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นฝูงๆ ก็ช่วยไม่ได้ 
[[53076]]

เพราะฉะนั้นจะอย่าอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกเลย ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงที่ถูกต้อง คือหน้าที่ที่ประพฤติถูกต้องตามหลักของธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่าจะดับทุกข์กันได้อย่างไร เนี่ยคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าลูกเด็กๆ ของเรารู้จักพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้มาตั้งแต่เล็กๆ จะดีมาก เดี๋ยวนี้มันไม่รู้จักหรอกมันก็ไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่พ่อแม่เคยถือกันมา จะไปสอบไล่สักทีก็ไปไหว้กุฏิศักดิ์สิทธิ์ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ อาตมาก็เคย เป็นเด็กๆ ผู้ใหญ่หรือเพื่อนเค้าสอนกันอย่างนั้นแหละ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปไหว้ ไปบูชาแล้วก็จะสอบไล่ได้ อะไรแบบนั้น มันก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้มันมาเรื่อยๆ ขอให้รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงก็คือสิ่งที่ช่วยได้ สิ่งที่ช่วยได้คือการปฏิบัติถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะท่านช่วยได้ ท่านช่วยให้เราช่วยตัวเองได้ ท่านมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือการดับทุกข์ การดับกิเลสได้ ท่านก็มอบหมายให้เรา แล้วเราก็มาทำการช่วยตัวเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือหน้าที่ที่กระทำโดยถูกต้อง จะเป็นการโอหังไปไหมถ้าจะคิดแบบนี้ ลองไปคิดเอาเองว่าจะสอนเด็กเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าเด็กจะเป็นพุทธบริษัทจริงๆ แล้วจะต้องมีความเข้าใจอันนี้ ไม่เป็นไสยศาสตร์โดยประการทั้งปวง กฎธรรมชาตินั่นแหละศักดิ์สิทธิ์ฝืนไม่ได้ ในพุทธศาสนาเราเรียกว่า อิทัปปัตตยตา หรือกฎปฏิจจสมุบาท นั่นแหละกฎศักดิ์สิทธิ์ฝืนไม่ได้ ต้องเคารพอย่างยิ่ง ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเราปฏิบัติตามกฎนั้นแล้วเราก็ดับทุกข์ได้ ขอให้เข้าใจอย่างนี้ ทีนี้มาดูกันถึงเรื่องทางสังคม ทางสังคม เราควรจะให้เด็กๆ ทารกของเรารู้เรื่องนี้สักเท่าไหร่อย่างไร ข้อแรกที่สุดที่ควรให้เขารู้คือว่า เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ให้ถือหลักนี่เป็นหลักเถอะ ไอ้เรื่องทางสังคมมันจะถูกต้องหมด ถ้าสมมติว่าเขายกโลกทั้งหมดให้เรา ทั้งหมดให้เรา ให้เราอยู่คนเดียวก็อยู่ได้ไหม มันก็อยู่ไม่ได้ มันต้องมีหลายๆ คนช่วยกันทำอย่างนั้น ช่วยกันทำอย่างนี้ จนครบถ้วนมันจึงจะอยู่ได้ ขอให้แน่ใจว่าเราอยู่คนเดียวบนโลกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรับรู้รับผิดชอบที่เราจะต้องอยู่ร่วมกันหลายคน ธรรมชาติมันไม่ได้สร้างมาให้เราอยู่คนเดียว instinct ของคน ของสัตว์เดรัจฉานก็แสวงหากันทั้งนั้น หาหมู่กันทั้งนั้น เพราะธรรมชาติไม่ได้สร้างมาเพื่ออยู่ตัวเดียว คนเดียว สัญชาติญาณมันจึงน้อมไปในทางที่จะอยู่กันเป็นหมู่ ฉะนั้นเราจะต้องระลึกนึกถึงการที่เราจะต้องอยู่กันเป็นหมู่ ฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงสังคมนิยม ซึ่งเป็นคำที่กำลังเกลียดกันนัก สังคมนิยมเดี๋ยวนี้ ธรรมชาติมันสร้างมาให้เราอยู่กันอย่างสังคมนิยม ไม่ใช่ rule ไม่ใช่อยู่อย่างเสรีนิยม ใครทำได้เท่าไหร่ทำเอา อย่างนั้นไม่ใช่ความประสงค์ของธรรมชาติ แต่เราต้องมีสังคมนิยมที่ถูกต้อง อย่าให้เป็นสังคมนิยมของความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันมีสังคมนิยมของความเห็นแก่ตัว มันจึงเกิดสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ แบบอะไรพวกนั้นจนเกลียดกันเข้ากระดูกดำแล้ว นั่นเป็นสังคมนิยมที่มันไม่ถูกต้อง เราจะต้องมีสังคมนิยมที่ถูกต้อง เติมป้ายหน่อยว่าธรรมิกสังคมนิยม ธรรมิกสังคมนิยม สังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะและไม่เป็นไร เสรีสังคมนิยมนี้ตามใจกิเลสไม่ไหว พระพุทธเจ้าท่านมีประชาธิปไตยสูงสุดโดยวินัย การโหวตคะแนนเสียงต้องเป็นเอกฉันท์ ค้านเพียงเสียงเดียวก็ไม่ได้ ดูประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ประชาธิปไตยบนโลกใบนี้เกินครึ่งแล้วมันใช้ได้ แต่ถ้าเอาตามแบบพระพุทธเจ้าแล้วค้านเสียงเดียวก็ไม่ได้ แต่นั่นมันเป็นหมู่สงฆ์ คณะสงฆ์ เห็นได้ชัดว่าท่านนิยมประชาธิปไตย เพื่อความอยู่ร่วมกันโดยเรียบร้อย มันเป็นสังคมนิยม ถึงแม้ศาสนาทุกศาสนาไปพิจารณากันดูให้ดี อาตมาใคร่ครวญอย่างยิ่งก็นิยมสังคมนิยมเหมือนกัน จะเป็นคริสต์เป็นอิสลาม เป็นฮินดู อะไรมันก็มุ่งหมายเป็นสังคม มันไม่ได้แยกกันอยู่เป็นแต่ละคนๆ ฉะนั้นจะต้องนึกถึงการอยู่กันเป็นสังคม มีธรรมมะเป็นหลัก ถ้าเรามีเสรีนิยมกิเลสมันก็เป็นผู้บัญชา ถ้าเราไม่สามารถควบคุมกิเลส เช่นการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้ สอนให้เป็นหมาหางด้วน สอนให้แต่ฉลาด ฉลาด ฉลาด โดยไม่ควบคุมความฉลาด เราลองเสรีนิยมตามแบบนี้ดูสิ มันพูดอย่างหลับตาพูดน่ะว่าประชาธิปไตย โดยประชาชน เพื่อประชาชน ของประชาชน ถ้าประชาชนมันเห็นแก่ตัวมันก็วินาศ วินาศ ประชาธิปไตยของประชาชนที่เห็นแก่ตัวมันวินาศ มันเห็นแก่ตัวโดยพื้นฐานของประชาชนทั้งหมด มันเลือกผู้แทนเห็นแก่ตัวเข้ามา ก็เป็นสภาของผู้เห็นแก่ตัว สภาของผู้เห็นแก่ตัวก็ตั้งรัฐบาลของผู้เห็นแก่ตัว จะไปกันทางไหนล่ะ เพราะฉะนั้นต้องเป็นสังคมนิยมของผู้ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ประชาชนก็เลือกผู้แทนที่มีธรรมะ สภาก็มีธรรมะ มันก็ตั้งรัฐบาลที่มีธรรมะ มันก็รอด ฉะนั้นนึกถึงคำว่าธรรมิกะ ธรรมิกะ ประกอบด้วยธรรมะเอาไว้ให้มากๆ ทำอะไรให้มันเป็นธรรมิกะ ธรรมิกสังคมนิยม ธรรมิกประชาธิปไตย ธรรมิกสภา ให้เป็นเรื่องที่ยึดธรรมะเป็นหลัก เห็นแก่ธรรมะเป็นสรณะ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกเห็นแต่ตัวกู มันจะไปเห็นธรรมะได้อย่างไร มันจะไปเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร มันเลยมีปัญหาอย่างที่กำลังมีปัญหา ร้อนระอุไปหมดทั้งโลก เราจะต้องรักเพื่อน เพื่อนอะไร เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย หมายความถึงไหน สัตว์เดรัจฉานด้วยก็ได้ ต้นไม้นี่ด้วยก็ได้ มันเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน สิ่งใดเกิดแก่เจ็บตายเอามาเป็นเพื่อนให้หมด มนุษย์ก็ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ได้ ต้นไม้ต้นไร่ก็ได้ แล้วมันจะเป็นอย่างไร มันจะทำลายป่าเป็นแถบๆ แบบนี้ได้หรือ มันจะฆ่าสัตว์ให้สูญพันธุ์ได้อย่างไรล่ะ 
[[53075]]

ถ้าเรามีสังคมนิยมแบบธรรมิกะ แล้วก็มีความเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย สมตามที่ว่าธรรมชาติสร้างสัตว์สิ่งมีชีวิตมาเพื่ออยู่กันเป็นสังคม เราจะต้องมีประเทศชาติศาสนาที่มีหลักการเช่นนั้น แล้วเราจะมีพระมหากษัตริย์ที่ช่วยดลบันดาลให้มันเป็นเช่นนั้น เราจะมีสังคมนิยมในความหมายของการเป็นชาติเป็นศาสนา ในความหมายของความเป็นประเทศชาติ เป็นศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นที่รวบยอดจะช่วยดลบันดาลให้มันเป็นไปอย่างนั้น มันมีธรรมิกสภาวะ ธรรมิกสังคมนิยม ฉะนั้นเดี๋ยวนี้มันก็ถูกต้องแล้วที่เรามีประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่เราอย่าไปเอาเสรินิยมชนิดที่กิเลสเป็นประธานให้ เอาสังคมนิยมที่มีธรรมะเป็นประธาน ไอ้เรื่องมันก็จะรอด เด็กๆ ต้องรู้ว่าเราไม่มีสติปัญญามาแต่ในท้องเราก็จะต้องเชื่อฟังบิดามารดาผู้ที่เกิดก่อนเรา เราไม่ต้องเสียเวลาไปคิดใหม่ เราคิดจนตาย เราก็รับเอาสิ่งที่เค้าเคยคิดกันแล้วน่ะมาปฏิบัติ มาศึกษา มาค้นคว้า มาใช้ให้เป็นประโยชน์กันดีกว่า เรื่องอะไรต่างๆ ที่เราจะคิดได้เหมือนที่เค้าคิดมาแล้วน่ะมันไม่ได้ เราจะคิดจนตายสักร้อยหนพันหน เราก็คิดไม่ออก รับเอาที่เค้าเคยคิดกันแล้วน่ะมาปฏิบัติ มาศึกษา มันก็จะได้ประโยชน์ ขอให้รู้จักใช้ความรู้ของบรรพบุรุษ จะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เด็กอาจจะไม่เข้าใจว่าคืออะไร ต้องค่อยบอกค่อยสอนกันไปว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับนั่นคืออะไร นั่นเรื่องง่ายๆ เรื่องอยู่กันอย่างเยือกเย็นเป็นนิพพาน น่าสงสารเด็กๆ ที่ได้รับการสั่งสอนในโรงเรียนผิดๆ ว่านิพพานคือความตาย ในพระไตรปิฎกค้นดูทั้งหมดแล้วไม่พบตรงไหนที่มีความหมายถึงความตาย ยืนยันอย่างนี้ ถ้าจะใช้ถึงความตายบ้างในบางครั้งก็จะใช้คำว่าปรินิพพาน เช่น คำพูดว่าปรินิพพานจะมีต่อสามเดือนจากนี้ ปรินิพพานจะหมายถึงความตาย แต่ถ้านิพพาน นิพพานเฉยๆ จะหมายถึงความเย็นทั้งนั้นแหละ นิพพานไม่ได้แปลว่าความตาย ไม่รู้ว่ายังสอนว่าเด็กๆ นิพพานเป็นความตายของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นความผิดอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนานิพพาน ไม่อยากได้นิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ให้รู้ว่านิพพานคือความเย็น เย็นกาย เย็นใจ เย็นทุกอย่าง มีชีวิตเย็นสบาย นั่นแหละเราควรจะได้รับสิ่งนี้คือที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ขอให้สนใจกันในทางจะให้เด็กเข้าใจคำว่านิพพาน นิพพานอย่างถูกต้อง
หน้าที่ 6 - สัตบุรุษ
ในระดับโลกๆ ธรรมดาๆ มักจะเรียกว่านิพพุติ มีความหมายอย่างเดียวกับนิพพานนั่นแหละ ดับเย็นจากความร้อน อะไรที่ร้อนๆ เย็นลงไป ก็เรียกว่านิพพาน ภาษาเดิมก่อนมีธรรมะก็ใช้คำว่านิพพาน ความหมายอย่างนี้ ไฟดับ เรียกว่าไฟนิพพาน แกงกับข้าวต้ม ข้าวอะไรเย็นลงกินได้เรียกว่าแกงนิพพาน เอาน้ำราดลงไปบนทองที่กำลังหลอมในเบ้าที่พวกช่างทองกำลังกระทำในบาลีใช้คำว่านิพพาไปรยะ ทำให้เย็นเรียกว่านิพพาน ทำให้หมดพิษหมดปัญหาเรียกกว่านิพพาน ไม่ใช่ตาย ไม่ต้องตายถ้าตายจะได้รับประโยชน์อะไร ฉะนั้นต้องนิพพานก่อนตาย ได้รับความเย็นก่อนตาย เด็กๆ ควรจะเข้าใจคำว่านิพพานในฐานะเป็นจุดหมายที่ดีที่สุดที่ควรจะได้ ทางนี้ยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่เราต้องไปทางนั้น ให้เย็น เย็น เย็น ตัวเองเย็น พ่อแม่เย็น ครอบครัวเย็น อย่าทำให้พ่อแม่ต้องน้ำตาตก ตัวเองต้องน้ำตาตก ทีนี้ก็เรื่องนึงก็ว่าเรื่องดีเรื่องชั่ว เด็กๆ ไม่ได้รับคำสั่งสอนที่ถูกต้องเพียงพอเข้าใจผิดสับสนไขว้เขว เดี๋ยวนี้มันมีคำบ้าบอที่ไหนมาว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีมีถมไปอะไรทำนองนี้ ยิ่งทำให้เข้าใจผิดหนักขึ้น เพราะไม่รู้ความหมายของคำคำนั้น และคำพูดนั้นมันก็ผิด ทำดีได้ได้ทำชั่วได้ชั่ว นี่ไม่ใช่คำที่ถูกต้อง นี่มันแปลความผิดเอง มันต้องพูดว่าทำดีดี ทำชั่วชั่ว พอทำดีก็ดี พอทำชั่วก็ชั่ว ไม่ต้องรอได้ ไม่ต้องรอกัน สิ่งนี้ยุติกันแล้วว่าดี สิ่งนี้ยุติกันแล้วว่าชั่ว ไม่ต้องรอการได้ ส่วนการได้อีกทางหนึ่งซึ่งเป็นปฏิกิริยา เป็นการทำดี ซึ่งอาจจะได้ ได้เงิน ได้ชื่อเสียงบ้างก็ไม่แน่ บางทีมันก็ได้ แต่ว่าส่วนมากมันก็ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะต้องได้ เพราะมันเป็นผลพลอยได้ ทำชั่วก็เหมือนกัน แต่มันจะรับเคราะห์กรรมทันทีหรือไม่มันก็ไม่แน่บางทีมันก็ยังมีสิ่งอื่นมาแทรกแซง เด็กควรจะเข้าใจว่าทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว ทันทีเลย แล้วดีนั้นเป็นสิ่งที่บ้าไม่ได้ เป็นสิ่งที่หลงไม่ได้ ถ้าบ้าได้หลงได้แล้วไม่ใช่ดี ดีเป็นสิ่งที่ไม่ต้องบ้าไม่ต้องหลงแล้วไม่ต้องอวดด้วย ถ้าอวดแล้วมันจะหมด มันจะหมดดี เด็กๆ รู้จักความดีแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ทำแล้วก็ดี ทำแล้วก็ไม่ต้องไปบ้า ไม่ต้องไปหลง แล้วก็ไม่ต้องอวดดี แล้วจะได้รับผลแห่งความดี เราจะต้องให้เขาเข้าใจคำว่าชั่ว คำว่าดี ให้ถูกต้องเสียใหม่อย่าให้มันเป็นไปตามที่คนเขาพูดกันอยู่ ซึ่งมันไม่ถูกต้องยิ่งขึ้นทุกที 
[[53077]]

ทีนี้มันก็ไปถึงความสุขความทุกข์ ทำดีทำชั่ว ทำบุญทำบาป บุญนั้นต้องเป็นสิ่งที่ล้างบาป ถ้าไม่ล้างบาปนั้นไม่ใช่บุญ เด็กๆ จะได้ยินคำว่าทำบุญสักบาทหนึ่งก็ได้บริวารหลังหนึ่ง มีบริวารห้าร้อย ทำบุญคืออย่างนั้นอย่างนั้นล้างบาปหรือเปล่า ความหมายเดิมของเขา คำว่าบุญนี่แปลว่าล้างบาป แต่มันมีความหมายว่าพอใจอิ่มใจเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่คนเขามาถือเอาความหมายหลังเสียหมด พอคนอิ่มใจสบายใจบ้าบุญไปเลย บุญอย่างนี้มันกัดเจ้าของนะ มันไม่ทำให้เยือกเย็น ไม่ล้างบาป ไอ้ความสุขทีแท้จริงคือความสงบ เด็กๆ ก็พอจะเข้าใจได้ แม้ว่าคนแก่ๆ จะเข้าใจไม่ได้ คนแก่ๆ เดี๋ยวนี้เข้าใจไม่ได้ ไม่ชอบความสงบ ความสุขที่แท้จริงคือความสงบ ถามลูกเด็กๆ อนุบาลนั่นแหละว่า ดีใจ ดีใจ ดีใจ เหนื่อยไหม เสียใจ เสียใจ เสียใจเหนื่อยไหม ถ้าไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจเลยเหนื่อยไหม ถามลูกเด็กๆ อนุบาลมันมองเห็นของมันเองนั่นแหละ เราเองก็เหมือนกัน เสียใจก็กินข้าวไม่ลง ดีใจก็กินข้าวไม่ลง แต่เมื่อไม่ดีใจไม่เสียใจจึงจะกินข้าวอร่อย ดังนั้นขอให้ลูกเด็กๆ เข้าใจตั้งแต่ต้นว่าไอ้ความสุขที่แท้จริงคือความสงบ ไม่ใช่ดีใจจนเนื้อเต้น เสียใจจนน้ำตาไหล รู้จักความสุขที่แท้จริงกันเสียอย่างนี้ก็จะเร่ไปหาความสงบ หาได้ด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ไม่ต้องหวังอย่างที่พวกฝรั่งเค้าสอนให้หวัง ให้หวังที่ไหนสำเร็จที่นั่น เราไม่สอนให้ลูกเด็กๆ เค้าหวัง สอนแต่ว่าให้ทำให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง เราก็พอใจ ทำให้ถูกต้อง พอใจ เรียนหนังสือทุกนาทีทุกชั่วโมงถูกต้อง พอใจ ทำงานที่บ้านถูกต้องทุกเวลานาที พอใจ อะไรก็ถูกต้อง ล้างหน้าถูกฟันก็ถูกต้อง ผ่านการรักษาก็ถูกต้อง อาบน้ำก็ถูกต้อง กินข้าว ล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้านถูกบ้านก็ถูกต้อง พอใจ เนี่ยมันอยู่ที่ถูกต้องและพอใจ เป็นความสุขที่ควรยึดถือเอา ไม่ใช่บำรุงบำเรอด้วยความสวยงามเอร็ดอร่อย เด็กๆ จะต้องรู้ความถูกต้อง จะต้องรู้กันเสียทั้งภาษาคน และภาษาธรรม ว่าดีว่าดีว่าสวยว่ารวยนั่นมีสองภาษา ดีอย่างภาษาคนกับภาษาธรรมมันคนละอย่าง สวยอย่างภาษาคนกับภาษาธรรมก็คนละอย่าง ดีอย่างภาษาธรรมมันคนละอย่าง ดี รวย สวย อย่างนี้ ภาษาคนเค้าหมายถึงกิเลส แต่ภาษาธรรมหมายถึงความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ดีอย่างถูกต้อง สวยอย่างถูกต้อง รวยอย่างถูกต้อง อย่างภาษาคน เด็กๆ ของเราอย่าไปหลงภาษาคนเป็นภาษาธรรม สวยอย่างไม่รู้จะประดับประดากันอย่างไร รวยก็รวยแต่สตางค์ไม่มีความดี ไม่มีใครเขานับถือเลย ดีก็เหมือนกันแหละ ดีแต่ที่เขาว่าดี ว่าดี ดีชนิดนี้มันกัดเจ้าของนะ ดีที่แท้จริงมันไม่กัดเจ้าของ เป็นอันว่าเราจะได้คิดหาหนทางให้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่เรียกว่ามีสัมมาทิฏิ สัมมาทิฏิธรรมะ หน้าที่เป็นสิ่งสูงสุด มีหน้าที่ มีการทำหน้าที่ที่ไหน มีหน้าที่ที่นั่น ไม่มีที่ไม่มีธรรมเลย โบสถ์บางโบสถ์มีแต่สั่งเซียมซี ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะเลย ธรรมะกลับไปอยู่ในนาที่ชาวนาไถนาเหงื่อไหลไคลย้อยนั่นแหละมีธรรมะ ธรรมะในโบสถ์หนีไปอยู่ในนาหมด ถ้าในโบสถ์ไม่มีการทำหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ฉะนั้นของให้ฝึกให้เด็กพอใจเสียสละที่จะทำหน้าที่แม้จะอาบเหงื่อ เหงื่อคือน้ำมนต์ที่แท้จริงที่จะช่วยให้รอด ไม่ใช่น้ำมันที่เขารดกัน เหงื่อคือน้ำมนต์ที่จะช่วยให้รอดฉะนั้นเหงื่อคือน้ำมนต์ที่แท้จริง ถ้าเด็กๆ เขาถือหลักอย่างนี้จะไม่มีใครว่างงาน เดี๋ยวนี้พวกปริญญามันว่างงานกับเป็นแถวๆ เพราะว่ามันเกลียดเหงื่อ ถ้ามันบูชาแล้วมันไม่มีใครว่างงาน ลูกเด็กๆ ของเราจะต้องรู้ล่วงหน้าว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มีธรรมะแล้วก็มีความรอด จะต้องเราเหงื่อแลกเอามา ไม่ควรจะมีใครว่างงาน ถ้าใครว่างงานคนนั้นมันไม่บูชาธรรมะ มันไม่บูชาหน้าที่ เอาเป็นว่าให้เด็กทุกคนรู้ตั้งแต่เล็กๆ ว่าเราจะต้องมีค่าของความเป็นมนุษย์สูงสุด สูงสุดให้จงได้ เดี๋ยวนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบกับพุทธศาสนาอย่าให้มันเป็นหมัน เราก็สืบเลือดเนื้อมาจากบิดามารดาที่เป็นพุทธบริษัท อย่าให้เป็นหมัน ให้ได้รับประโยชน์จากความเป็นพุทธบริษัท เด็กๆ เขาถือเอาความหมายง่ายๆ ว่าพุทธะ พุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่บุคคล คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ผู้ใดมีความรู้สิ่งที่ควรรู้มีความตื่นจากหลับหรืออวิชชา มีความเบิกบานด้วยความเป็นสุขนั่นแหละคือพุทธะ พุทธะ พุทธะ ทุกคนเป็นพุทธะให้เด็กทุกคนเตรียมตัวสำหรับเป็นพุทธะ คือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระพุทธเจ้าไป เป็นพุทธะกันให้เต็มโลกเลย ถ้าได้อย่างนี้แล้วการศึกษาอนุบาลก็สูงสุด มีค่าสูงสุด ไม่ใช่การเลี้ยงลิง ช่วยกันคิดนึกให้ดี ๆ ให้ได้ผลว่าให้เด็กสามารถสร้างโลกในอนาคต บิดามารดาสร้างเด็กก็คือสร้างโลกในอนาคต เราเตรียมลูกหลานของเราให้สามารถสร้างโลกในอนาคต เนี่ยเป็นมานุษยวิทยา เป็นมนุษย์ศาสตร์นอกหลักสูตรในมหาวิทยาลัย สร้างโลกแห่งมนุษย์ให้ถูกต้องแล้วมันก็หมดปัญหา ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนเห็นแก่คนอื่นเนี่ย โลกพระศรีอารยเมตรัย พอคนทุกคนในโลกเปลี่ยนเป็นรักผู้อื่นเท่านั้นแหละโลกก็จะเปลี่ยนเป็นโลกพระศรีอารยะเมตรัยขึ้นในพริบตาเดียว ไม่มีใครเชื่อในพริบตาเดียวเปลี่ยนเป็นโลกนี้ให้เป็นโลกพระศรีอารยะเมตรัย เพราะว่าทุกคนหมดความเห็นแก่ตัว ประกาศสงครามกับความเห็นแก่ตัว ช่วยกันทำลายล้างให้หมดไป บูชาความไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ผู้อื่น เป็นหัวใจของทุกศาสนา คนที่ไม่เห็นแก่ตัวน่ะได้ชื่อว่าเขาถือศาสนาทุกศาสนาได้ดีที่สุด ทุกศาสนามุ่งหมายที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว แล้วจะไม่มีความเห็นแก่ตัว อาตมาพูดไม่มีใครเชื่อ เพราะว่าโลกสมัยนี้มันเป็นโลกวิทยาศาสตร์ มันฉลาดมันเรียนเหตุผลกันมากแล้ว ขอให้คนในโลกถือศีลเพียงข้อเดียว ไม่เห็นแก่ตัว ศีลเพียงข้อเดียวพอ แล้วศีลทั้งหมดกี่ร้อยกี่พันข้อมันจะมาอยู่ที่ศีลข้อเดียวข้อนี้หมด ไม่เห็นแก่ตัวนะ มันจะแก้ปัญหาบุคคล แก้ปัญหาสังคม แก้ปัญหาครอบครัว ได้ ไม่เห็นแก่ตัวมันมีความหมายกว้าง ไม่เห็นแก่ตัวแล้วจะฆ่าใครได้ มันจะโกหกใครได้ มันจะกาเมใครได้ มันจะกินน้ำเมาใครได้ เพราะมันไม่เห็นแก่ตัว คำพูดมันเป็นปัญหาเสมอไปไม่ว่าจะเป็นภาษาไหน ภาษาไทยก็ดี ภาษาฝรั่งก็ดี เห็นแก่ตัวนั้นมันเอาความหมายว่าถ้าเราไม่รักตัวแล้วจะทำอะไรดี นั่นมันผิด อย่างนั้นเค้าเรียกว่าเคารพตัว บูชาตัวไม่ได้เรียกว่าเห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวแล้วเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเลย เอาเปรียบขูดรีด เอาเปรียบนั่นแหละ เห็นแก่ตัว ถ้าบูชาตัว รักตัว สงวนตัว พัฒนาตัวนี้ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัว ภาษาไทยที่ถูกต้องต้องเป็นแบบนี้ ภาษาฝรั่งก็เหมือนกัน เอาไม่เห็นแก่ตัวก็พอแล้วอย่าเพิ่งถึงหมดตัวเลย อาตมาบอกฝรั่งว่า non-selfishness ก็พอแล้วถ้าเป็น –less มันจะมากเกินไปสำหรับคุณ เอาแค่ non-selfishness ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ตัว ฝรั่งเค้าเคยพูดอย่างนี้เมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ไม่มีไม่ได้ยิน เพราะมันกลายเป็นโลกเห็นแก่ตัวไปทั้งโลก กอบโกยไปทั้งโลก ไม่มีใครดูถูกผู้ที่เห็นแก่ตัวซะแล้วเพราะตัวเองก็เป็นเสียเอง แต่ขอให้ระลึกนึกถึงอาตมาว่าความเห็นแก่ตัวนั่นแหละทำลายโลก เลวทรามที่สุด ร้ายกาจที่สุด เป็นซาตาน เป็นพญามารถึงที่สุดอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัวสูงที่สุดของความเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยม รายละเอียดมีอยู่อย่างนี้ จะเอาไปเป็นข้อมูลเป็นเหตุผลเท่าที่จะนึกได้ หรือเท่าที่เคยๆ นึกมา ขอสรุปใจความสั้นๆ ในตอนสุดท้ายนี้ว่า เรามีเหตุผลอันเพียงพอแล้วที่จะจัดการศึกษาอนุบาล เหตุผลที่จะอ้างได้กับคนทั้งโลก เหตุผลที่จะสกัดนั้นกระแสแห่งความต้องการของเด็กๆ ที่กำลังจะไหลไปสู่กิเลส ให้มาสู่กระแสแห่งโพธิ นี่คือเหตุผลที่เราจะต้องจัดการศึกษาอนุบาล อย่าถือว่าเด็กเป็นเพียงผู้ใหญ่ในวันหน้า ถ้าอย่างนี้มันก็จะเป็นกันหมด ให้ถือว่าเด็กเป็นผู้ที่สร้างโลกในอนาคต เดี๋ยวนี้เรากำลังมีเด็กที่เป็นอันตรายมากขึ้นหรือเปล่า เรากำลังมีเด็กที่กำลังจะเป็นเด็กอันตรายมากขึ้นหรือเปล่า จะป้องกันอย่างไร ถ้าไม่จัดการกันตั้งแต่ขั้นอนุบาล ไอ้โลกที่เป็นโลกแห่งความเห็นแก่ตัวเป็นความผิดของใคร ใครเป็นผู้จัดการโลก ใครเป็นเจ้าของโลก มันไม่มี มันเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกัน ไม่มีใครที่มีอำนาจเป็นเจ้าของโลก เป็นผู้บัญชาการโลกมันไม่มี ทางที่ดีก็ช่วยกันทำให้ทุกคนสามารถร่วมมือกันจัดการโลก โลกในอนาตคจะอยู่ในความรับผิดชอบของใคร ก็ของคน ของเด็กๆ ที่มันจะดูแลโลกใบนี้ เราจะจัดการศึกษาให้เด็กเขาได้เป็นมนุษย์ที่พึงประสงค์ที่พึงต้องการ เรียกตามภาษาธรรมะว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษก็ได้ เป็นสัตบุรุษก็ได้ 
[[53078]]

ถ้าตามหลักภาษาพุทธศาสนาใช้คำว่าสัตบุรุษ เป็นคำสูงสุดในสมัยพุทธกาลที่ใช้เรียกพระอรหันต์เลย สัตบุรุษใช้เรียกพระอรหันต์ได้ด้วย จารึกที่ผอบกระดูกของพระสารีบุตร โมคัลลานะ น่ะเค้าใช้ศัพท์คำนี้สัก พระสารีบุตรผู้เป็นสัตบุรุษ พระโมคัลลานะผู้เป็นสัตบุรุษ เราต้องการสัตบุรุษคือลดลงมาเป็นสุภาพบุรุษก็ได้ ให้ต่ำๆ ลงมา เราต้องการให้มนุษย์ทุกคนเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่บุคคลผู้เห็นแก่ตัว ให้เขาถือศาสนาแห่งความถูกต้อง ไม่ถือศาสนาประโยชน์ ไม่ใช่รับจ้างรัฐบาลทำงาน เป็นการทำกุศลอย่างมหาศาลในการสร้างโลกในอนาคตให้ถูกต้องเป็นกุศลมหาศาลตามพระพุทธประสงค์ ตามแบบที่ถูกต้องของพุทธบริษัท ถ้าทำได้อย่างนี้จะเป็นการสืบอายุโลกให้ยืนยาวไป สืบอายุพระธรรมให้ยืนยาวไป สืบอายุพระศาสนาให้ยืนยาวไป เป็นการกระทำที่เป็นความรับผิดชอบแห่งยุค มากไปไหม เรารับผิดชอบแห่งยุค ยุคนี้เราต้องรับผิดชอบอย่างนี้ เราเป็นผู้มีการกระทำที่มีความรับผิดชอบแห่งยุค โลกจะรอดไปอีกยุคนึงถ้าเรามีการกระทำอย่างนี้ คือเด็กขึ้นมาอย่างถูกต้อง ประเทศไทยจะเป็นป้อมปราการของโลกด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงป้อมปราการของพระพุทธศาสนา เป็นป้อมปราการของมนุษย์ในโลก โลกจะยังคงเป็นโลกที่มีความน่าอยู่ ขอให้ทุกท่านมีความพอใจ มีความเชื่อตัวเอง มีความกล้าหาญ มีความสุขในการกระทำงานชิ้นนี้ ขอให้สำเร็จตามความประสงค์มุ่งหมายทุกๆ คน ทุกๆ ประการเทอญ ขอยุติการบรรยายลงด้วยความสมควรแก่เวลา
ที่มา   https://vcharkarn.com/varticle/32584

อัพเดทล่าสุด