เซซามิน สารสกัดจากงาดำ ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ


ความมหัศจรรย์ของเมล็ดงาดำเล็กๆ ที่ช่วยให้ประโยชน์กับร่างกายได้มากมาย ซึ่งการบริโภคงาดำเป็นประจำจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรง กระดูกที่แข็งแรง และช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งต่างๆได้ด้วย         ความมหัศจรรย์ของเมล็ดงาดำเล็กๆ ที่ช่วยให้ประโยชน์กับร่างกายได้มากมาย ซึ่งการบริโภคงาดำเป็นประจำจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรง กระดูกที่แข็งแรง และช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งต่างๆได้ด้วย 

เซซามิน สารสกัดจากงาดำ ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ

เซซามิน สารสกัดจากงาดำ ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

งา ดำ พืชเมล็ดเล็ก ๆ แต่มีคุณประโยชน์มหาศาล จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งพืชน้ำมัน ราชันแห่งธัญพืช” โดยสารสำคัญในงาดำมีชื่อว่า “เซซามิน” ส่วนจะมีสรรพคุณอะไรบ้างไปฟังคำตอบกัน

รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบัณฑิตศึกษา และอาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดงาดำ “เซซามิน” กล่าวว่า เรามีองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากงามากว่า 4,000 ปีแล้ว การทำวิจัยเรื่องนี้ก็เพราะอยากใช้องค์ความรู้วิทยาศาสตร์มาพิสูจน์องค์ความรู้ตั้งแต่โบราณ เช่น สรรพคุณในการผสาน
หรือต่อกระดูก ดูแลเกี่ยวกับความดันโลหิต ดูแลภูมิต้านทาน เมื่อทำวิจัยก็พบว่าสิ่งที่คนโบราณมีความเชื่อนั้นเป็นเรื่องจริง

“เซซามิน” ในงาดำมีคุณประโยชน์ 8 ประการ คือ

  1. ช่วยในการเผาผลาญ สลายไขมัน ลดความอ้วนเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
  2. ลดการดูดซึมและการสังเคราะห์คอเลสเตอรอล
  3. ทำให้ระดับไขมันอยู่ในสัดส่วนพอดี
  4. ช่วยในการทำงานของวิตามินอี
  5. ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในระบบประสาท
  6. ลดปฏิกิริยาความเครียด
  7. ต้านอนุมูลอิสระ
  8. ต้านการอักเสบ
สำหรับสรรพคุณในเรื่องการลดการอักเสบนั้น ได้มีการค้นคว้าวิจัยสรรพคุณด้านนี้เป็นพิเศษในเชิงลึก เพราะการอักเสบเป็นตัวการทำให้เกิดโรคข้อเสื่อม ซึ่งเป็นโรคที่คนไทยเป็นมาก และสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีหนึ่งมหาศาล ในระยะแรกได้ทดลองกับกระดูกอ่อนของหมู พบว่า สารเซซามินที่สกัดจากงาดำสามารถยับยั้งการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนที่ห่อหุ้มข้อต่างๆ ของ
ร่างกายได้ จึงเชื่อว่าจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกันเมื่อนำมาใช้กับคน ทั้งนี้กำลังอยู่ระหว่างการเริ่มทดลองขั้นสูงในระดับคลินิกต่อไป
ปัจจุบันงาดำที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดอาจอยู่ในรูปของสารสกัดที่เป็นแคปซูล ดังนั้น ประชาชนทั่วไปเมื่อต้องการรับประทาน  ต้องทำการคั่วแล้วบดวันละไม่เกิน 4 ช้อนชา สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมคุณภาพให้ได้ แต่ปัญหาคือ การคั่วนานๆ อาจทำให้เกิดสารพิษที่ทำให้ก่อมะเร็งได้ ของบางอย่างเมื่อถูกความร้อน ของดีกลายเป็นของไม่ดี กลายเป็นสารพิษได้ และการเก็บไว้นาน ๆ อาจเกิดปฏิกิริยา
ออกซิเดชั่น ทำให้มีกลิ่นเหม็นหืนได้ด้วย

 
ที่มา   https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2733&sub_id=75&ref_main_id=14

อัพเดทล่าสุด