อะไรคือ ไขมันร้าย ไขมันดี ไตรกลีเซอไรด์


810 ผู้ชม


พูดถึงคลอเลสเตอรอลกันให้ละเอียดลึกซึ้ง  นอกจากจะมีทั้งประโยชน์และโทษดังกล่าวแล้ว  แต่ถ้าพูดให้ชัดลงไปว่า  แล้วเจ้าตัวที่เป็นผู้ร้ายจริง ๆ คือตัวไหนกันแน่         พูดถึงคลอเลสเตอรอลกันให้ละเอียดลึกซึ้ง นอกจากจะมีทั้งประโยชน์และโทษดังกล่าวแล้ว แต่ถ้าพูดให้ชัดลงไปว่า แล้วเจ้าตัวที่เป็นผู้ร้ายจริง ๆ คือตัวไหนกันแน่ 

เปรียบเหมือนพูดถึงรถยนต์บนท้องถนนทั้งหมด คือคลอเลสเตอรอลรวม ก็มีรถที่คอยปล่อยควันดำ ทิ้งขยะ น้ำมันเครื่องลงท้องถนน ซึ่งถูกเรียกว่า ไขมันร้าย (Bad cholesterol) มีลักษณะโครงสร้างที่ใหญ่และมีความหนาแน่นต่ำ จึงเรียกเป็นศัพท์การแพทย์ว่า Lowภ density lipoproteinภ ย่อว่า LDL-Cholesterol (LDL-C)
LDL-C นี้เอง คือผู้ร้ายตัวจริง ยิ่งมีมากก็ยิ่งก่อปัญหาหลอดเลือดอุดตัน ในทางกลับกันคลอเลสเตอรอลอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีความหนาแน่นสูง เรียกว่า High density lipoprotein (HDL) เป็นพระเอกของร่างกายเรา หรือ ไขมันดี (good cholesterol) เปรียบเหมือนรถขนขยะของกทม. คอยเก็บของเสียหรือไขมันส่วนเกินจากผนังหลอดเลือดกลับคืนสู่กระแสเลือด และนำไปยังโรงงานแปรรูปกำจัดขยะ คือ ตับ เพื่อเปลี่ยนสภาพจากไขมันคลอเลสเตอรอล ให้กลายเป็นน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมันต่อไป
ภทีนี้ทำอย่างไร เราจึงจะทราบตัวเรานี้มีระดับภ LDL และ HDL สูงมากน้อยเท่าไร ก็ต้องหยิบกระดาษ ดินสอ มาบวกลบเลขกันสักเล็กน้อย

โดยปกติการเจาะเลือดนั้น จะสามารถทราบระดับของคลอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ซึ่งเป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งและ HDL ได้และนำมาคำนวณโดยอาศัยสูตรดังนี้ คือ


LDL –C = Total cholesterol – (Triglyceride/5)-HDL
ค่าปกติของ LDL ไม่ควรเกิน 160 มก.% ในคนปกติ และไม่เกิน 130 มก.% ในผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ส่วน HDL ที่ดีควรมีค่าเกินกว่า 45 มก.%
ถ้าต้องการจะลดระดับ LDL-C ในเลือดนอกจากลดการบริโภคอาหารที่มีคลอเลสเตอรอลดังว่ามาแล้ว พบว่าการลดอาหารที่มีระดับกรดไขมันอิ่มตัวสูงจะมีส่วนลดระดับ LDL ได้ด้วย ซึ่งเจ้าไขมันที่อิ่มตัวที่ว่านี้นอกจากจะพบในไขมันสัตว์แล้ว ในน้ำมันพืชบางประเภท เช่น น้ำมันปาล์มภ น้ำมันมะพร้าว กะทิ จะมีไขมันประเภทนี้สูง ที่น่าวิตกก็คือ ผลิตภัณฑ์อาหารส่วนใหญ่ที่เราและลูกหลานของเรากำลังบริโภคกันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ไม่ว่าจะเป็นไก่ทอดภ มันทอด แมคโดนัลด์ภ KFC อาหารจานด่วน ต่างก็ประกอบจากน้ำมันที่ว่านี้ทั้งนั้น เพราะราคาถูกแถมไม่ค่อยเหม็นหืนเสียอีกด้วย มีการศึกษาที่พบว่าระดับ LDL-C ของคนในภูมิภาคเอเชีย กำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก หลังจากร้านอาหารข้ามชาติผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด และเป็นที่นิยมชื่นชอบของวัยรุ่นและคนทำงานทั่วไป จนกลายเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของคนยุคใหม่ไปแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันยิ่งเป็นกันมากขึ้น และยิ่งพบในคนอายุน้อยลงกว่าเมื่อสมัยก่อน

จะเลือกใช้น้ำมันอะไรดี

ถ้าคุณเลือกได้ ควรเลือกอาหารที่ปรุงจากไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัว ประเภทที่มีขายกันอยู่ทั่วไปและราคาไม่แพงมากภ เช่นภ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ทานตะวัน น้ำมันงา ประเภทนี้เรียกว่าไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน อีกประเภทที่จะเรียกว่าดีที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียวซึ่งพบมากใน น้ำมันมะกอก (ไม่ใช่ที่เอาไว้ทาตัวหรือใส่ผม) ซึ่งเป็นน้ำมันที่ต้องนำเข้า มักมีที่มาจากยุโรป และอเมริกา สนนราคาช่วงนี้คงจะแพงพอสมควรภ์ ก็อาจจะใช้เป็นน้ำมันถั่วเหลืองทานตะวัน ฯลฯ ที่มีขายกันอยู่ทั่วไปพวกนั้นจะเหมาะสมกว่า สามารถช่วยลดระดับ ไขมันร้าย LDL ลงได้ประมาณภ 12%

มีผลิตภัณฑ์อีกประเภทหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์กับคนที่อยากทานเนยแต่กลัวไขมันสูง เลยทานเป็นรูป เนยเทียมหรือมาการีนแทน ปรากฏว่ามีสารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า Trans fatty acid ซึ่งเกิดจากกระบวนการแปรรูปไขมัน ที่ต้องอาศัยความร้อนสูงมาก และมีการเติมอะตอมของ ไฮโดรเจนเข้าไป (Hydrogenation) ทำให้จุดเดือดของไขมันสูงขึ้น และสามารถจับเป็นก้อนที่อุณหภูมิห้อง ผลิตภัณฑ์เหล่านี้นอกจากเนยเทียม ยังพบในครีม ขนมกรอบ เวเฟอร์ เมื่อบริโภคเข้าไปจะทำให้ผลในการลด LDL เหลือเพียง 5% แต่ที่สำคัญคืออาจลดระดับของ HDL ซึ่งเป็นไขมันดีลงไปได้ด้วย

คราวนี้ต้องถึงคราวพระเอก HDL ของเราบ้าง ทำอย่างไรเล่าจึงจะทำให้ HDL มีระดับเพิ่มขึ้นภ คงไม่มีปัญหาในคนที่มีระดับสูงอยู่แล้ว แต่ในคนที่ระดับต่ำ (น้อยกว่า 35 มก.%) จะทำอย่างไรกันดี

วิธีการที่จะช่วยเพื่ม HDL ก่อนที่จะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับยา ดังต่อไปนี้

- หมั่นอออกกำลัง แบบแอโรบิคภ 30-40 นาทีอย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 วัน
- หยุดสูบบุหรี่ เพราะสารในบุหรี่ลดระดับ HDL
- บางารายงาน เครื่องดื่มประเภทไวน์วันหนึ่งไม่เกิน 1 แก้ว จะสามารถเพิ่มระดับ HDL ได้ ซึ่งก็ต้องเป็นไวน์แดง แต่ก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด และแพทย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะแนะนำให้ผู้ป่วยหันมาดื่มแอลกอฮอล์ เพราะส่วนมากมักจะเลยเถิด (เกิน 1 แก้ว) พลอยเป็นโรคตับแข็ง โรคความดันสูง ต่อไปอีก

มีข้อมูล จากวารสาร Circuiation พบว่าการบริโภคน้ำองุ่นแดงวันละประมาณ 600 ซีซี ก็สามารถให้ผลที่น่าพอใจ แม้จะมากไปหน่อย ก็เทียบได้กับการดื่มไวน์เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้อันที่จริงมันไปเกี่ยวข้องกับสารประเภทหนึ่ง คือ Flavonoids ซึ่งพบมากในผิวขององุ่นแดง สารตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งจะคอยป้องกันไม่ให้โมเลกุลของ LDL เข้าไปทำอันตรายต่อเยื่อบุชั้นในของหลอดเลือด ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดหลอดเลือดแข็งตัวได้
ที่มา   https://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=755&sub_id=16&ref_main_id=4

อัพเดทล่าสุด