อาการกรดไหลย้อน รักษา สาเหตุของอาการกรดไหลย้อน ยาแก้อาการกรดไหลย้อน


964 ผู้ชม


อาการกรดไหลย้อน รักษา สาเหตุของอาการกรดไหลย้อน ยาแก้อาการกรดไหลย้อน

 โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease)

หลายท่านคงมัวแต่ว้าวุ้นอยู่แต่กับการทำงาน หรือการเรียนมากจนเกินไป จนไม่มีเวลามาดูแลเรื่องอาหารการกินสักเท่าไหร่ ทำให้การรับประทานอาหารที่ไม่เคยที่จะตรงเวลาเลย ทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณอก และรู้สึกเปรี้ยวขมในปาก หากใครเคยมีอาการดังกล่าวนี้แสดงว่าคุณอาจกำลังเป็น “โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease)” ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารกลับไปที่หลอดอาหาร หลายท่านอาจจะไม่คุ้นหูนักสำหรับชื่อโรคนี้ถึงแม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นโรค วันนี้เราจึงจะมาแนะนำคุณให้รู้จักกับโรคกรดไหลย้อนให้มากขึ้น พร้อมทั้งวิธีการปฏิบัติตัว แนวทางการรักษา และเทคนิคต่าง ๆ ที่จะช่วยให้คุณมีอาการดีขึ้นได้

 อาการของโรคกรดไหลย้อน อาการสำคัญที่พบบ่อยในโรคกรดไหลย้อนได้แก่ 
  • รู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณลิ้นปี่  กลางหน้าอก ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหาร
  •  รู้สึกเปรี้ยว หรือขมในปาก และคอ
  • มีอาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง

 อาการอื่นๆ ที่คุณอาจคาดไม่ถึง
  • อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ
  • เสียงแหบเรื้อรัง เสียงเปลี่ยน
  • ไอเรื้อรังโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
  • กลืนติดขัดเหมือนมีก้อนจุกในคอ
  • โรคหืดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาตามปกติ
ยิ่งไปกว่านั้นโรคกรดไหลย้อนยังอาจทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบ เป็นแผลรุนแรงจนตีบ หรือเกิดเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้

artical_gi005

 เส้นทางสู่กระเพาะอาหาร
ระบบทางเดินอาหารส่วนต้นมีจุดเริ่มต้นจากปาก เมื่อเราตักอาหารใส่ปาก เคี้ยวและกลืน อาหารจะผ่านหลอดอาหารลงมาสู่ส่วนปลายของหลอดอาหารที่มีลักษณะเป็นหูรูด ที่เรียกว่า “หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (Lower esophageal sphincter)” ผ่านลงสู่กระเพาะอาหารซึ่งมีน้ำย่อยที่เป็นกรดย่อยอาหารให้เล็กลง และส่งผ่านไปยังลำไส้เล็กเพื่อย่อยต่อไป

 หูรูดหลอดอาหารที่แข็งแรง
หูรูดหลอดอาหารที่แข็งแรงเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนกลับ ในภาวะปกติหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างนี้จะเปิดเฉพาะเมื่อมีการกลืนอาหาร เพื่อให้อาหารผ่านอย่างสะดวก และบีบรัดตัวปิดทันทีเพื่อไม่ให้อาหารที่กลืนลงไปแล้ว และกรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปอีก

 จะเกิดอะไรขึ้นหากหูรูดหลอดอาหารอ่อนแอ
หูรูดหลอดอาหารอาจเกิดการหย่อนตัวหรือเปิดบ่อยกว่าปกติได้จากสาเหตุต่างๆ ได้แก่ การรับประทานอาหารรสจัด  แรงกดต่อกระเพาะอาหารที่มากเกินไป การสูบบุหรี่ ซึ่งส่งผลให้กรดไหลย้อนกลับขึ้นไปทำอันตรายต่อเยื่อบุหลอดอาหารที่มีความอ่อนบาง และไม่มีกลไกป้องกันกรดเหมือนกับเยื่อบุกระเพาะอาหาร

 การปรับการดำเนินชีวิตเพื่อบรรเทาอาการ
อาการของโรคกรดไหลย้อนสามารถบรรเทาให้เบาบางลงได้ด้วย การปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันเพียงบางอย่าง เช่น อาหารที่คุณรับประทาน หรือแม้แต่ขนาดของเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่

 การรับประทานอาหาร
  - คุณอาจไม่ทราบมาก่อนว่าเครื่องดื่มถ้วยโปรดของคุณ เช่น กาแฟ อาจเป็นตัวการของโรคกรดไหลย้อน ดังนั้น อาหารที่คุณพึงหลีกเลี่ยง ได้แก่
    • ชา  กาแฟ และน้ำอัดลมทุกชนิด
    • อาหารทอด  อาหารไขมันสูง
    • อาหารรสจัด รสเผ็ด
    • ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
    • หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
    • ช็อกโกแลต

  - รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ
    การรับประทานอาหารอิ่มเกินไปจะทำให้หูรูดหลอดอาหารเปิดออกง่ายขึ้น ดังนั้นควรรับประทานอาหารครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง หรืออาจจะแบ่งการรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ

  - ไม่ควรเข้านอน หรือเอนกายหลังรับประทานอาหาร
     หลังรับประทานอาหารไม่ควรเข้านอน หรือเอนกายทันที ควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อให้อาหารเคลื่อนตัวออกจากกระเพาะอาหารเสียก่อน

  - งดบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่จะเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร และทำให้หูรูดกระเพาะอาหารอ่อนแอ ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้หูรูดเปิดออกได้เช่นกัน  ลองหลีกเลี่ยงหรือเลิกสิ่งเหล่านี้แล้วคุณจะสังเกตถึงอาการที่ดีขึ้นได้

 การปรับการดำเนินชีวิตเพื่อบรรเทาอาการ

  - ยกศีรษะและลำตัวให้สูง กรดไหลย้อนมักเกิดขณะคุณนอนราบ ดังนั้นการนอนโดยเสริมด้านหัวเตียงให้ยกสูงขึ้น จะช่วยป้องกันการไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหารได้ ไม่ควรใช้วิธีการหนุนหมอนหลาย ๆ ใบ
artical_gi006

  - ลดแรงกดต่อกระเพาะอาหาร จากเสื้อผ้า และเข็มขัดที่รัดแน่นบริเวณผนังหน้าท้อง  การก้มตัวไปด้านหน้า  น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน  ล้วนเป็นสาเหตุที่เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหาร และทำให้กรดไหลย้อนกลับ คุณจึงควรหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าหรือเข็มขัดที่รัดแน่น การก้มตัว และถ้าคุณมีปัญหาน้ำหนักเกินควรลดให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

  - ผ่อนคลายความเครียด ซึ่งความเครียดจะเป็นสาเหตุให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ดังนั้นจึงควรหาเวลาพักผ่อน และออกกำลังกายให้สมดุลกับตารางชีวิตของคุณ

  - การตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์มักเป็นโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ทำให้หูรูดหลอดอาหารอ่อนแอลงรวมทั้งมดลูกที่ขยายตัวเพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหาร ซึ่งหากคุณมีอาการขณะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์

 วิธีการรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยยาเป็นวิธีการหนึ่งในการรักษาโรคกรดไหลย้อนในผู้ป่วยส่วนใหญ่อย่างได้ผล การรักษาด้วยยามีเป้าหมายต่างกันไปตามชนิดของยาและอาการของคุณ ยาที่ใช้รักษาโรคกรดไหลย้อน สามารถแบ่งตามกลุ่มการออกฤทธิ์ได้ดังนี้
  • ยาลดกรด (Antacid)  ลดความเป็นกรดของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ใช้ในผู้ที่มีอาการเล็กน้อย หรือเป็นเพียงครั้งคราว เช่น Aluminium  hydroxide , magnesium hydroxide เป็นต้น
  • ยากลุ่มกระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร (Prokinetics) เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารทำให้อาหารเคลื่อนออกจากกระเพาะอาหารเร็วขึ้น เช่น Metoclopamide , Domperidone เป็นต้น
  • ยากลุ่ม H2 Receptor Antagonists  ออกฤทธิ์ยับยั้งฮีสตามีน(Histamine)ไม่ให้จับตัวกับตัวรับในกระเพาะอาหารทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดลดลง เช่นCimetidine,Famotidine,Ranitidine เป็นต้น
  • ยากลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม(Proton Pump Inhibitors:PPI) ยับยั้งโปรตอนปั๊มที่อยู่ในกระเพาะอาหารซึ่งเป็นกลไกขั้นสุดท้ายในการหลั่งกรด จึงสามารถลดการหลั่งกรดได้สมบูรณ์ เช่น Omperazole,Esomeprazole,Pantoprazole เป็นต้น
ในปัจจุบันยากลุ่มยับยั้งโปรตอนปั๊ม เป็นยาที่ให้ผลการรักษาได้ดีที่สุด มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดการหลั่งกรด และได้ผลเร็วกว่ากลุ่มอื่น ๆ คุณอาจต้องรับประทานยานี้ติดต่อกันนาน 6-8 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น ขึ้นกับการวินิจฉัยของแพทย์ และเมื่อคุณสามารถปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตได้ แพทย์อาจปรับลดขนาดยาลงทีละน้อย
 
 เมื่อไหร่จึงต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ในรายที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อนรุนแรงจนใช้ยาเต็มที่แล้วไม่ได้ผล หรือมีข้อห้ามในการกินยา รวมทั้งไม่ต้องการรับประทานยาตลอดเวลา หรือเป็นซ้ำบ่อยหลังหยุดยา ซึ่งมีเพียงร้อยละ 10 ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนที่แพทย์อาจพิจารณาใช้การผ่าตัดเป็นทางเลือกในการรักษา

 รับประทานยาอย่างไรให้ได้ผลดี
การรับประทานยาอย่างถูกต้อง และครบถ้วนตามคำแนะนำของแพทย์มีความสำคัญอย่างมากต่อการรักษาโรคกรดไหลย้อนให้หาย เมี่อคุณเริ่มรับประทานยาไปได้ระยะหนึ่ง อาการต่าง ๆ จะดีขึ้น แต่อย่าหยุดยาเองต้องรับประทานจนครบตามแพทย์สั่ง เพราะอาการอาจกลับมาเป็นซ้ำอีกได้หลังจากคุณหยุดยาเอง ก่อนรับประทานยาอื่น ๆ โดยเฉพาะยารักษาอาการอักเสบ ปวดข้อ และแอสไพริน คุณต้องตรวจสอบกับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เนื่องจากยาเหล่านี้มักระคายเคืองเยื่อบุทางเดินอาหาร และทำให้อาการแย่ลง

 เมื่อไรต้องรีบพบแพทย์ 
ถึงแม้ว่าโรคกรดไหลย้อนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการรุนแรง แต่ไม่ควรละเลยโดยไม่รักษาเพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นได้ ทั้งนี้หากพบแพทย์เพื่อรักษาแล้ว คุณยังมีอาการหล่านี้เกิดขึ้น ต้องปรึกษาแพทย์ทันที
  • อาเจียนบ่อย หรือมีเลือดปน
  • กลืนติด หรือกลืนลำบาก
  • อุจจาระมีสีดำเข้ม หรือมีเลือดปน
  • อ่อนเพลีย ซีด
  • น้ำหนักลดอย่างต่อเนื่องโดยไม่สาเหตุ
  • กินยาครบตามแพทย์สั่งแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง

 คำถามที่พบบ่อย

Q: ถ้าเป็นโรคกรดไหลย้อนควรนอนตะแคงซ้ายจริงหรือไม่?
A: การนอนตะแคงขวาอาจทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนกำเริบขึ้นได้บ่อยกว่าการนอนตะแคงซ้าย เนื่องจากในท่านอนตะแคงขวา กระเพาะอาหารจะอยู่เหนือหลอดอาหารทำให้มีแรงกดต่อหูรูดหลอดอาหารให้เปิดออกง่ายขึ้น จนเกิดการไหลย้อนกลับของกรด จึงเป็นที่มาของคำแนะนำให้ผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนนอนตะแคงซ้ายนั่นเอง

Q: โรคกรดไหลย้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?
A: โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็น ๆ หาย ๆ เนื่องจากหูรูดหลอดอาหารยังคงทำงานไม่ดี ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการนาน ๆ ครั้ง แต่บางรายก็เป็นบ่อยมากอย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเกือบทุกรายจะมีอาการดีขึ้นได้จากการ
ปฏิบัติตัวดังที่แนะนำไปแล้วนั้น และการมาตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง 


แหล่งที่มา : phyathai.com

อัพเดทล่าสุด