โรคเกี่ยวกับฟัน โรคเกี่ยวกับลิ้น โรคเกี่ยวกับเหงือก


4,811 ผู้ชม


โรคเกี่ยวกับฟัน โรคเกี่ยวกับลิ้น โรคเกี่ยวกับเหงือก

โรคเกี่ยวกับฟัน

มาดูแลรักษาฟันกัน

โรคฟันผุ
         
โรค ฟันผุ เป็นโรคท๊อปฮิตของคนไข้ที่มาพบทันตแพทย์ โรคฟันผุเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อโรค คือแบคทีเรียชื่อ Streptococcus mutans ซึ่งติดต่อได้ทางน้ำลาย โดยโรคฟันผุนี้เกิดจากการที่แบคทีเรียที่ย่อยสลายอาหารประเภทน้ำตาลทำให้ เกิดกรดแลคติก ที่มีฤทธิ์ในการการสลายแร่ธาตุเคลือบฟันและเนื้อฟันส่วนที่โผล่ขึ้นมาในช่อง ปากได้แก่แร่ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส ให้ออกจากตัวฟันจึงทำให้เคลือบฟัน ตัวฟัน และรากฟันที่โผล่พ้นออกมาจากเหงือกถูกทำลายจนเกิดเป็นโพรง หรือเป็นรูตามฟันได้โดยง่าย ในสภาวะปกติภายในช่องปากมีกระบวนการเปลี่ยนแร่ธาตุแคลเซียมและ ฟอสฟอรัสในระหว่างชั้นผิวเคลือบฟัน และแร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำลายตลอดเวลาอย่างสมดุล ทำให้ไม่มีการสูญเสียแร่ธาตุออกจากผิวฟัน แต่ในภาวะที่จุลินทรีย์มีการย่อยสลายอาหารแป้งและน้ำตาล จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของน้ำลายเป็นกรด ทำให้สูญเสียแร่ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัสออกจากตัวฟันมากกว่าการได้รับกลับคืน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นบ่อยจะทำให้เกิดฟันผุ 

        ปัยจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ ได้แก่

          1. ตัวเชื้อโรค ที่ทำให้เกิดฟันผุ คือ Streptococcus mutans
          2. พื้นผิวของตัวฟัน ถ้าฟันมีความขรุขระมาก ก็จะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย
          3. อาหารที่เรารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอาหารที่เป็นน้ำตาลและ ค่อนข้างเหนียวจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุได้มาก
          4. ระยะเวลาที่แบคทีเรียสามารถเกาะอยู่บนผิวฟัน โดยปกติน้ำลายจะคอย ชะล้างสิ่งสกปรกในช่องปาก ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันฟันผุทางหนึ่ง แต่เนื่องจากในเวลากลางคืนน้ำลายจะหลั่งออกมาได้น้อยจึงทำให้สามารถชะล้าง แบคทีเรียออกไปได้น้อย ดังนั้นการรับประทานอาหารในช่วงเวลากลางคืนโดยไม่แปรงฟันก่อนนอน จะทำให้มีโอกาสเกิดฟันผุได้มากกว่าการรับประทานอาหารในช่วงเวลากลางวันโดย ไม่แปรงฟัน

ฟันแต่ละซี่มีโอกาสผุไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
      + ฟันที่มีรูปร่างเป็นหลุมและมีร่องลึก ฟันที่อยู่ลึก หรือฟันเก จะมีโอกาสผุได้ง่ายกว่าฟันที่รูปร่างปกติ เนื่องจากทำความสะอาดยาก
 
      +
ด้านของฟันที่สัมผัสฟันข้างเคียง เช่น ด้านประชิดก็จะเป็นบริเวณที่ฟันมีการผุได้ง่าย
 
      + ฟันที่มีสารฟลูออไรด์เป็นองค์ประกอบ จะมีความแข็งแกร่งและต้านทานต่อการเป็นโรคฟันผุได้มากกว่าฟันทั่วไป
 
 
       อาการของโรคฟันผุ

 
        
ระยะเริ่มแรก พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่ชั้นเคลือบฟัน โดยกรดจะเริ่มทำลายชั้นเคลือบฟันเปลี่ยนจากสีขาวใสมันวาว เป็นสีขุ่นขาวบริเวณที่เป็นผิวเรียบของฟัน หรือหลุมร่องฟัน จุดสีน้ำตาล หรือสีเทาดำ ระยะนี้ยังไม่มีอาการใดๆ จึงมักถูกละเลยปล่อยทิ้งไว้ แต่ถ้าหมั่นแปรงฟันให้สะอาดและใช้ฟลูออไรด์ทาเฉพาะที่จะสามารถช่วยยับยั้ง การลุกลามได้ แต่ถาปล่อยทิ้งไว้จนกระทั่งการผุลุกลามถึงเนื้อฟันจนเนื้อฟันเปื่อยยุ่ยมอง เห็นเป็นรูชัดเจน จะเริ่มมีอาการเสียวฟันหรือปวดฟัน เมื่อถูกของร้อน เย็น หรือหวานจัด ระยะนี้ต้องพบทันตแพทย์เพื่อรีบทำการรักษาด้วยการอุดฟัน และหากไม่ได้รับการดูแลรักษา การผุก็จะเข้าสู่ขั้นรุนแรงลุกลามเข้าทำลายลึกถึงโพรงประสาทฟันทำให้เกิด การอักเสบของเนื้อเยื่อภายในโพรงประสาทฟัน ซึ่งระยะนี้จะมีอาการปวดรุนแรงมาก การรักษาก็ทำได้ค่อนข้างยากและถ้ามีการติดเชื้อร่วมด้วยก็จะเกิดการอับเส บบวมรอบๆบริเวณเหงือกและฟันด้วย
    การรักษาและดูแลโรคฟันผุ
 
     1. ฟันผุในระยะเริ่มแรกที่มีสีขุ่นขาว เพียงทำให้ช่องปากได้รับฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรือใช้ฟลูออไรด์ทาเฉพาะที่ก็จะสามารถช่วยยับยั้งการลุกลาม และทำให้การผุนี้กลับคือสู่สภาพปกติได้
     2. กรณีที่ชั้นเคลือบฟันมีการเปลี่ยนเป็นสีดำแต่ยังไม่เป็นรูนั้น การแปรงฟันให้สะอาดอย่าสม่ำเสมอ สามารถช่วยยับยั้งไม่ให้เป็นฟันผุเป็นรูผุได้
     3. หมั่นตรวจดูว่ามีการลุกลามของโรคเพิ่มขึ้นหรือไม่ หากการผุลุกลามจนเป็นรูแต่ไม่ลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน ต้องพบทันตแพทย์เพื่อรีบทำการรักษาด้วยการอุดฟัน
     4. ถ้าฟันผุลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน ทันตแพทย์จะตรวจดูเนื้อฟันที่มีเหลือ หากมีพอเพียงที่จะบูรณะได้ก็จะรักษาโพรงประสาทฟันและบูรณะฟันให้อยู่ในสภาพ ดีดังเดิมโดยการอุดฟันหรือครอบฟัน แต่หากเนื้อฟันมีเหลืออยู่น้อยเกินไปก็จะรักษาโดยการถอนฟัน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเศษอาหาร และเชื้อโรค อันจะก่อให้เกิดการติดเชื้อลุกลามไปสู่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้
     5. กรณีที่วัสดุอุดฟันแตก ควรรีบรับการอุดฟันใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฟันผุต่อ

วิธีการป้องกันฟันผุด้วยตนเอง

  • ควรรักษาช่องปากให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอด้วยการแปรงฟันทุกวันในตอนเช้า ก่อนนอน และหรือทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
  • หลังการแปรงฟันควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดตามซอกฟันด้วยอย่างสม่ำเสมอ
  • ควรปรับปรุงพฤติกรรมการบริโภคอาหารหวาน ด้วยการลดความถี่ในการบริโภคน้ำตาล ไม่กินจุบกินจิบ และหลีกเลี่ยงขนมหวานเหนียวหนึบติดฟัน หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆให้ลองใช้วิธีนี้ คือ หาอาหารชนิดอื่นโดยเฉพาะอาหารที่มีฤทธิ์เป็นด่างมาละลายฤทธิ์กรด เช่นโปรตีน ยกตัวอย่างเช่น ทานช็อกโกแลตที่มีถั่วหรืออัลมอนด์ด้วยดีกว่าการทานช็อกโกแลตอย่างเดียว หรือทานก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำตาล 1 ช้อน ในก๋วยเตี๋ยวจะ มีหมู ไก่ หรือปลา ซึ่งเป็นด่างช่วยลดความเป็นกรด มีถั่วงอก ผักบุ้งช่วยขัดฟัน และยังมีน้ำช่วยเจือจางกรดอีกด้วย
  • ใช้น้ำบ้วนปากทันทีหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง
  • ควรใช้ฟลูออไรด์เสริมเพื่อป้องกันโรคฟันผุด้วยการเลือกใช้ยาสีฟันผสม ฟลูออไรด์ด้วย

      
                 Link       https://www.learners.in.th

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โรคเกี่ยวกับลิ้น

ลิ้น เป็นอวัยวะพิเศษพิสดารชนิดหนึ่ง คล้ายถุงที่บรรจุกล้ามเนื้อพิสดารหลายมัด กล้ามเนื้อเหล่านี้เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ เพื่อทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างของลิ้น ตามความต้องการของผู้เป็นเจ้าของ

               ตัวถุงหรือเปลือกที่ห่อหุ้มลิ้นอยู่ ก็พิเศษ เพราะมีขนอยู่ด้านหลัง ซึ่งก็คือ ด้านที่หันเข้าหาเพดานปากนั่นเอง ขนลิ้นมีหลายแบบ แต่จะไม่เหมือนขนตามผิวหนังของร่างกาย ลักษณะคล้ายๆขนของแปรงๆผมที่สตรีใช้กัน แต่นิ่มอ่อนมาก ระหว่างขนเหล่านี้แทรกอยู่ด้วยต่อมรับรส ตัวต่อมรับรสแทรกตัวอยู่ในตำแหน่งต่างๆของลิ่น ทั้งบนหลังลิ้น โคนลิ้น ปลายลิ้นหรือด้านข้างของลิ้น

                ถุงลิ้นทั้งถุงดังกล่าว มีกล้ามเนื้อภายนอกโยงยึดไว้กับกระดูกขากรรไกร กระดูกคอหน้ากล่องเสียง และส่วนท้ายของกระดูกใบหน้าส่วนกลาง ทำให้ลิ้นลอยตัวได้อย่างมั่นคงและประกอบเป็นส่วนสำคัญของพื้นช่องปาก

                โดยตำแหน่ง โดยองค์ประกอบของลิ้นและหน้าที่ของลิ้น ทำให้ลิ้นมีโรคหรือความผิดปกติได้มากมาย พอสรุปได้ดังนี้

1.กลุ่มโรคที่เป็นมาแต่กำเนิด และโรคลิ้นจากพัฒนาการการเจริญเติบโต

2.กลุ่มโรคของผิวลิ้น

3.กลุ่มโรคลิ้นที่สัมพันธ์กับโรคของช่องปากอื่นๆ

4.กลุ่มโรคของลิ้นที่สัมพันธ์กับโรคในส่วนอื่นๆของร่างกาย

5.กลุ่มโรคของลิ้นที่สัมพันธ์กับระบบประสาท

6.ถุงน้ำของลิ้น

7.เนื้องอกของลิ้น

8.รอยโรคของลิ้นที่อาจแปรเป็นมะเร็งลิ้น

9.มะเร็งลิ้น

            Link    https://www.geocities.ws

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โรคเกี่ยวกับเหงือก

ปริทันตวิทยา Peadodontics

โรคปริทันต์

 

โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า โรคเหงือกอักเสบ แต่จริงๆแล้ว โรคปริทันต์ มิได้มีการอักเสบเกิดขึ้นแค่ที่เหงือกเท่านั้น แต่เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับอวัยวะรอบๆฟัน อันได้แก่ เหงือก, กระดูกเบ้าฟัน, เอ็นยึดปริทันต์ และ ผิวรากฟัน

สาเหตุของโรคปริทันต์

สาเหตุเบื้องต้น คือ เชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่มีอยู่ในช่องปากซึ่งเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นในสภาวะที่เหมาะสม กล่าวคือการมีคราบอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่เกาะบนผิวฟัน และจากการที่เราทำความสะอาดฟันไม่ดีพอ ทำให้คราบอาหารเหล่านี้กลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนขึ้นแผ่กระจายไปบนผิวฟัน ที่เราเรียกกันว่า แผ่นคราบจุลินทรีย์ แบคทีเรียพวกนี้เมื่อมีการบริโภคอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปจะปล่อยกรดและสารพิษออกมา เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ผลคือทำให้เหงือกบวมแดงอักเสบและมีเลือดออก ทำให้เกิดการทำลายอวัยวะปริทันต์ แผ่นคราบจุลินทรีย์ไม่เพียงแต่จะมีแค่ส่วนตัวฟันที่อยู่เหนือขอบเหงือกเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในส่วนใต้ขอบเหงือกที่เรามองไม่เห็น ส่วนนี้เองที่ทำให้เกิดโรคปริทันต์ลงสู่กระดูกเบ้าฟัน ผลคือทำให้กระดูกเบ้าฟันละลาย ทำให้ล่องเหงือกลึกลงไปเรื่อยๆ ทำให้ฟันไม่ยึดติดกับเหงือกและก่อให้เกิดหนองในร่องปริทันต์ ทำให้รู้สึกเจ็บเหงือกและอาจมีอาการปวดเมื่อเคาะที่ตัวฟันและฟันโยกได้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เหงือกและกระดูกเบ้าฟันจะถูกทำลายลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็อาจจะต้องสูญเสียฟันซี่นั้นไป เนื่องจากสูญเสียอวัยวะรอบฟันที่ช่วยในการยึดเกาะฟันไว้กับขากรรไกร

อธิบายอีกนัยหนึ่ง คือ คราบเชื้อโรคเมื่อเกาะบนผิวฟันนานๆกลายเป็นคราบหินปูน เมื่อมีคราบหินปูนก็เป็นที่สะสมของคราบเชื้อโรคมากยิ่งขึ้น เมื่อคราบหินปูนและแบคที่เรียสะสมมากขึ้นและนานขึ้น จะเพิ่มปริมาณลึกลงไปใต้ขอบเหงือก ทำให้การอักเสบลุกลามลงไปยังอวัยวะปริทันต์ทั้งหมด จึงเกิดการทำลายอวัยวะปริทันต์ตามมา

อาการบ่งชี้ว่าเป็นโรคปริทันต์

1. มีเลือดออกตามไรฟันขณะแปรงฟัน
2. เหงือกบวมแดง
3. มีกลิ่นปาก
4. เหงือกร่น
5. อาจมีหนองออกตามร่องเหงือก
6. ฟันโยก


ภาพแสดงฟันที่มีคราบพลัคและหินปูนเกาะ
           
ภาพแสดงเหงือกที่อักเสบและปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาจนในที่สุดต้องสูญเสียฟันไป

การรักษาโรคเหงือกควรจะรีบทำการรักษาในทันทีที่มีการตรวจพบว่าเป็นโรคเหงือก เพราะหากปล่อยไว้จะทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น หากพบอาการของโรคเหงือก ควรจะเข้าพบทันตแพทย์ หรือทันตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อที่จะทำการรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะหากปล่อยไว้ โรคเหงือก จะทำให้สูญเสียฟันได้


ภาพแสดงฟันที่มีคราบหินปูนเกาะสะสม
จนทำให้เหงือกอักเสบ

ขั้นตอนการรักษาโรคเหงือก...

เมื่อทราบสาเหตุแล้วว่า โรคปริทันต์ ว่าเกี่ยวข้องกับการสะสมของคราบหินปูน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่การรักษาจะต้องมีการขูดหินปูน และเกลารากฟัน(root planing) ร่วมด้วย คำว่าเกลารากฟันนี้อาจจะเป็นศัพท์ใหม่ ที่คนทั่วไปไม่ค่อยคุ้น แปลไทยเป็นไทยได้ว่า ทำผิวรากฟันให้เรียบ (เกลา = ทำให้เรียบ) คือการกำจัดคราบหินปูนและคราบเชื้อโรคที่เกาะบนรากฟันให้หมด จนได้ผิวรากฟันที่เรียบแข็ง ช่วยให้เหงือกกลับมายึดได้ดีขึ้น

สรุปขั้นตอนการรักษา
1. การรักษาจะต้องมีการขูดหินปูน และเกลารากฟัน (root planing) ร่วมด้วย โดยจะขูดหินปูนทั้นบนตัวฟันและส่วนที่อยู่บนผิวรากฟันภายในร่องปริทันต์ ส่วนการเกลารากฟันคือการทำให้ผิวรากฟันเรียบเพื่อให้เนื้อเยื่อเหงือกสามารถกลับมายึดแน่นติดกับผิวฟันได้เหมือนเดิม ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องทำซ้ำหลายๆครั้ง
2. หลังจากรักษาเสร็จแล้วประมาณ 4-6 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะเรียกกลับมาดูอาการอีกครั้งว่า หายดีหรือไม่ ถ้ายังมีร่องลึกปริทันต์เหลืออยู่หรือมีการละลายของกระดูกไปมาก อาจจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดเหงือก (ศัลย์ปริทันต์ : Periodontal Surgery) ร่วมด้วย
3. ท่านจะต้องทำความสะอาดฟันและซอกฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอด้วยตนเอง อย่างน้อยจะต้องใช้แปรงและไหมขัดฟันทุกวัน เพื่อที่จะกำจัดคราบจุลินทรีย์ให้หมดทุกวัน
4. ไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจดูว่ามีคราบจุลินทรีย์และหินปูนหลงเหลือจากการทำความสะอาดเองหรือไม่ เพื่อที่จะได้รับการรักษาในระยะแรก

หากในคนไข้ที่เป็นโรคเหงือกมาก ๆ ก็อาจจำเป็นต้องพบทันตแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการเกลารากฟัน เพื่อขจัดคราบจุลินทรีย์ และหินปูนที่บริเวณตัวฟัน และผิวรากฟัน การขูดเหงือกเป็นการกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อที่ช่องเหงือก การขูดหินปูน และการขูดเหงือกเป็นการใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากอย่างจริง ก็จะเพียงพอต่อการควบคุมโรค แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค

สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคเหงือกมาก ๆ การขูดหินปูนและการขูดเหงือก อาจจะไม่ได้ผล ซึ่งในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ทำการผ่าตัด ซึ่งระหว่างการผ่าตัดนี้ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะทำการยกเหงือกเพื่อที่จะดูการลุกลามไปที่รากหรือกระดูก คราบจุลินทรีย์และหินปูนที่ได้ทำการขจัดออกจากบริเวณและจากกระดูกฟัน จากนั้นนำเหงือกกลับสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมที่เหมาะแก่การทำความสะอาดหลังการรักษา

เมื่อมีการเปิดเหงือก และกระดูกมีการสูญเสียไป บางครั้งคนไข้ต้องรักษาโดยการปลูกกระดูก ซึ่งการปลูกกระดูกนี้เป็นการสร้างกระดูกจากไขกระดูกในปากของเราเอง หรือจากกระดูกเทียม ซึ่งในขั้นตอนนี้ จะทำการนัดคนไข้ ประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ในบางกรรีก็สามารถเสร็จได้ภายในครั้งเดียว ในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีอุปกรณ์ครบครัน

การแปรงฟันอย่างถูกวิธี
การทำความสะอาดซอกฟัน
อย่างถูกวิธี

เมื่อพบว่าเหงือกมีเลือดออกและเจ็บเล็กน้อยเวลาแปรงฟัน อาจจะเป็นอาการเบื้องต้นของโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งเกิดจากการมีเศษอาหารและเชื้อโรคสะสมอยู่บริเวณเหงือกและคอฟัน ทำให้เกิดอาการอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้จะเกิดหนองและลุกลามติดเชื้อสู่รากฟันได้ แนวทางป้องกันเสียแต่เนินๆ คือ การแปรงฟัน ให้สะอาดและใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันอย่างสม่ำเสมอ โรคปริทันต์สามารถกลับมาเป็นใหม่ได้ถ้าดูแลสุขภาพช่องปากไม่ดี ดังนั้นจึงต้องดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีอย่างสม่ำเสมอด้วยการแปรงฟันและทำความสะอาดซอกฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ

วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคเหงือก คือการใส่ใจดูแลรักษาตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ซึ่งรวมถึงการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน การบ้วนปาก และการนวดเหงือก สุดท้าย คือรักษาสุขภาพปากและฟันให้สะอาดปราศจากเชื้อแบคทีเรีย

การรักษาฟันโยกคลอน : . .

 
 

การที่ฟันโยกคลอนไม่ได้หมายถึงต้องเป็นโรคเหงือกทุกรายไป แต่ถ้าคุณกดไปที่ตัวมันแล้วฟันหดเข้าไปในเหงือก โรคเหงือกอาจจะเป็นสาเหตุ หากเป็นโรคเหงือกไม่มากแล้วฟันมีการโยกคลอน อย่างรุนแรงทันตแพทย์จะทำการรักษา การรุกลามที่ปัญหาก่อน

หากฟันของคุณมีการเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ทันตแพทย์แนะนำให้ทำการยึดฟัน ซึ่งการยึดฟันไว้ด้วยกันด้วยแผ่นพลาสติก หรือเครื่องมือที่คล้ายคลึงกัน เพื่อเป็นการรับแรงดันจากการบดเคี้ยว ระหว่างที่เหงือกและฟันทำการรักษาอยู่ สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาว อาจะแนะนำได้แก่การใส่

ในบางครั้งการสูญเสียกระดูกมากๆ การปลูกกระดูกไม่สามารถทำได้ในทุกรายไป อาจจะทำโดยการยึดฟันไว้ด้วยกัน ด้วยการ เพื่อเพิ่มความมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งวิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวเพื่อให้ฟันมีความเสถียรภาพ หากวิธีนี้ประสบความสำเร็จ การทำ Crowns linked ใส่แทนที่ฟันที่โยกคลอน การแก้ปัญหานี้เป็นการรักษาฟันซี่อื่นๆ

การรักษาสำหรับการสูญเสียเหงือก : : . .

 
 

เนื้อเยื่อของเหงือกสามารถสูญเสียได้ เกิดจากหลายสาเหตุ รวมถึง โรคเหงือก, การติดต่ออย่างรุนแรง หรือเป็นแผล หรือการถอนฟัน ในหลาย ๆ กรรีที่เหงือกถอยร่นไป สร้างปัญหาด้านความสวยงาม เช่นในกรณีการปลูกเนื้อเยื่อเหงือกเป็นการแก้ไขความผิดปกติ หรือเป็นการป้องกันก่อนที่จะลุกลาม

หากการสูญเสียเหงือกรุนแรง อาจจะนำวิธีการนำเหงือกเทียมถอดได้มาใช้ ทำจากพลาสติกที่มีความยืดหยุ่น นำมาปรับให้ได้รูปกับตัวฟัน และคลุมช่องว่างระหว่างฟัน ซึ่งต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

Full Crowning หรือการเคลือบฟัน สามารถนำมาใช้ได้เพื่อปกปิดเนื้อเยื่อที่สูญเสียไป แต่โดยปกติไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้ หากฟันต้องการทำให้ดีดังเดิม ทางที่เป็นไปได้ใช้ composite resin ในการสร้างเนื้อฟันและปิดช่องว่าง ปกตินิยมทำการ เพราะเป็นการลดค่าใช้จ่าย และกรอเนื้อฟันออกเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม การทำอย่างนี้ต้องทำซ้ำเมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่ปี และไวต่อการเกิดคราบ

การรักษาสำหรับเหงือกร่น : : . .

 
 

เหงือกร่นเป็นต้นเหตุของโรคเหงือก ซึ่งจะเป็นปัญหาของความสวยงามด้วยเช่นกัน ถ้าคุณยิ้มแล้วเห็นเหงือก โดยเฉพาะหากคุณมีครอบฟัน (Crowns) หากเหงือกร่น จะทำให้เห็นตัวฟันที่แท้จริงที่ไม่ได้บังไว้ ซึ่งรากฟันของคุณนั้น ปกติจะสีคล้ำกว่าตัวครอบฟัน หรือคุณอาจจะพบว่าขอบของวัสดุหรือ Porcelain จะแสดงออกมาให้เห็น ไม่ว่าจะสาเหตุอะไรก็ตาม แม้ว่าครอบฟันนั้นจะทำได้เหมือนธรรมชาติเท่าไรก็ตาม

เมื่อเหงือกร่นแล้ว โดยปกติเหงือกจะไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิม ทันตแพทย์อาจจะแนะนำ ให้ผ่าตัดตกแต่งฟัน ถึงแม้ว่านำเนื้อเยื่อมาแทนที่ระหว่างฟันนั้น ไม่สามารถคาดเดาได้ ทันตแพทย์สามารถปกปิดฟันซี่นั้นได้

การปกปิดทำได้โดย ย้ายบางส่วนของครอบฟัน และราก แล้วทำการยึดช่องว่างด้วย Composite Resin เพื่อปิดบังขอบของโลหะ หรือการเปิดราก อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะรักษาความสวยงามนี้ไว้ มีทางเลือกที่ดีกว่า คือการทำให้สีของโลหะค่อย ๆ จางลง หรือปกปิดด้วย Composite ที่สีเข้มกว่า ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ซึ่งการแก้ปัญหาคือการทำครอบฟันใหม่มาแทนที่

ทางที่ดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงจากเหงือกร่น คือการรักษาสุขอนามัยภายในช่องปาก และให้ทัตแพทย์ทำความสะอาดให้ปีละ 3-4 ครั้ง เช่นเดียวกัน ทำการทำความสะอาดทันทีหลังจากใส่ครอบฟัน แม้แต่เนื้อเยื่ออักเสบบวม หากมีแบคทีเรียสะสมรอบ ๆ เหงือกจะกระทบที่เนื้อเยื่อและทำให้เหงือกร่นได้

 

ในคนไข้ที่เป็นโรคเหงือก เหงือกจะถอยร่นไปทำให้เห็น
ตัวฟันยาวกว่าปกติ และทำให้มองเห็นช่องว่างระหว่างตัวฟัน
การสูญเสียเหงือกอย่างรุนแรงที่ฟันเขี้ยวขวา
โรคเหงือกที่เกิดจากการใส่ครอบฟันไม่ดี

ในภาพนี้แสดงให้เห็นว่า Porcelain หรือ Composite Resin
สร้างขึ้นมาเพื่อปิดบังช่องว่างระหว่างฟัน
การผ่าตัดตกแต่งเหงือก โดยนำเนื้อเยื่อมาปะ
ใส่ครอบฟันใหม่ที่พอดีสามารถปกปิดโรคเหงือกของคนไข้ได้

การรักษาโรคเหงือกควรจะรีบทำการรักษาในทันทีที่มีการตรวจพบว่าเป็นโรคเหงือก เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น หากพบอาการของโรคเหงือกควรเข้าพบทันตแพทย์ หรือทันตแพทย์เฉพาะทาง เพื่อที่จะทำการรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะหากปล่อยไว้ โรคเหงือกอาจทำให้สูญเสียฟันได้

           Link   https://www.silomdental.com

อัพเดทล่าสุด