เมนูอาหารไทยชาววัง เมนูอาหารไทยโบราณ เมนูอาหารไทยรูป


เมนูอาหารไทยชาววัง เมนูอาหารไทยโบราณ เมนูอาหารไทยรูป

ของว่างบุษราคัม เมนูเริ่มต้น เมนูแรกนี้ จะประกอบไปด้วย ของว่างแบบไทยแท้ สูตรชาววัง 5 รายการด้วยกัน อันประกอบด้วย ช่อม่วง แป้งปั้น 2 สี ระหว่าง ม่วงจากดอกอัญชัน กับ ขาวแบบธรรมชาติ ใส่ไส้ไก่ผัด ที่ได้รับการปรุงรสมาเป็นอย่างดี วิจิตรด้วยการปั้นและแต่งให้เป็นรูปดอกไม้สีม่วง ดูสวยเก๋ , กระทงทอง กระทงน้อยทำด้วยแป้งทอดกรอบอย่างบาง สานมาเป็นรูปกระทงใบน้อย ภายในกระทงบรรจุ ข้าวโพด แครอท ถั่วลันเตา กุ้งและหมูสับผัด แต่งหน้าด้วยผักชีและพริกซอย สีสันดูน่ารับประทาน  , ถุงเงินยวง  กุ้งเด้งที่ได้รับการปรุงรสมาเป็นอย่างดี ถูกห่อหุ้มด้วยฟองเต้าหู้อย่างบางสวยทอดกรอบ ใส่ลงมาในกระทงใบตองเย็บมืออย่างปราณีต ภายในกระทงใบตองรองด้วยน้ำจิ้ม ทำให้ 1 คำของถุงเงินยวง อร่อยโดยไม่ต้องปรุงเพิ่มแต่อย่างใด , หรุ่ม ของว่างชื่อแปลก หาทานยากนี้  ตัวไส้ทำด้วยหมูสับและปูผัดปรุงรส เสร็จแล้วนำมาห่ออย่างปราณีตบรรจงด้วยแผ่นไข่ รูปตาข่ายแบบซีทรู ซึ่งจะต้องทำด้วยไข่เป็ดเท่านั้น จึงจะได้สีสันและความสวยงาม  และ สุดท้ายสำหรับของว่างสำรับนี้ คือ  กุ้งซ่อนกลิ่น  เมนูสูตรเฉพาะของทางร้าน ที่ได้ประยุกต์จากอาหารไทยโบราณ ภายในประกอบด้วย กุ้งสับ  ขิงซอย หอมแดง เคล้ากับมะนาว และ เกลือ ลักษณะคล้ายพล่ากุ้ง แต่เน้นกลิ่นและรสชาติของตะไคร้  เสร็จแล้วนำมาห่อด้วยผักสลัด แต่งฐานด้วยแตงกวา และแต่งหน้าด้วยพริกสี ยึดให้อยู่เป็นคำเดียวกันด้วยไม้กลัด ซึ่งทางร้าน บอกว่า ต้องเป็น ไม้กลัดที่ทำจากทางมะพร้าว ที่เหลาเองเท่านั้น  


          แสร้งว่า เมนู ที่ 2 ที่ทางร้านแนะนำในวันนี้ ทราบมาว่า เป็นพระเอกของทางร้านเลยค่ะ  โดยจากประวัติของเมนูนี้ เชื่อว่า แต่เดิม เป็นอาหารของชาวไทยพื้นบ้าน ที่ใช้ไตปลาเป็นตัวหลัก แต่เมื่อนำมาประยุกต์เป็นเครื่องเสวยในวัง ได้เปลี่ยนจากไตปลามาเป็นกุ้งนาง แทน ชื่อ แสร้งว่า จึงมาจาก “แสร้งว่าเป็นไตปลา” ค่ะ โดยเมนูนี้ จะเป็นลักษณะเครื่องจิ้ม กึ่งยำกึ่งน้ำพริก ตัวน้ำยำหรือน้ำจิ้ม  ใช้ ตะไคร้ ขิง หอมแดง ใบมะกรูด สะระแหน่ ตัดรสชาติให้กลมกล่อมด้วย มะขามเปียกและน้ำตาลปี๊บ และ ใช้กุ้งเป็นเนื้อสัตว์หลัก ปรุงรสโดยรวมไม่จัดมาก ใส่ลงมาในผลน้ำเต้าที่ได้รับการแกะสลักอย่างปราณีตบรรจงขนาดกำลังเหมาะ  เวลาทานจะทานร่วมกับ ผักสดที่ได้รับการจัดแต่งอย่างพิถีพิถันเคียงกันมา พร้อม ปลาดุกฟูเต็มถ้วยที่ทำเสร็จใหม่ๆ เมนูนี้ รับรองว่า ทานเข้าไปคำแรก จะต้องมีคำที่ 2 3 4 ตามมาอย่างแน่นอนค่ะ



          กุ้งใหญ่ทอดกระเทียม  เมนูชื่อธรรมดา ที่เชื่อว่า สั่งที่ร้านอาหารไทยทั่วไปก็ต้องมี แต่ที่นี่ มีดีตรงที่ ใช้กุ้งตัวใหญ่ และ ต้องเป็นกุ้งเป็นเท่านั้น เพื่อจะได้ความสด ใหม่ และไม่คาว โดยใน 1 จาน ที่สั่งมานี้ จะประกอบไปด้วย กุ้ง 2 ตัว นำมาผัดกับกระเทียม ให้รสชาติจัดจ้านและหอมยิ่งขึ้นด้วยพริกไทย และเพื่อให้เหมาะกับความชอบของลูกค้าแต่ละโต๊ะที่ไม่เหมือนกัน ลูกค้าสามารถสั่งได้ว่า จะเอาแบบผัดแห้งๆ หรือ จะผัดมีน้ำ หรือ จะใส่กระเทียม แบบเยอะๆ ก็สามารถทำให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า ค่ะ



         สะเต๊ะลือ  เมนูหน้าตาคุ้นตาจานนี้ เป็น ไก่สะเต๊ะ ค่ะ แต่ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น ตรงที่ ไม่มีน้ำจิ้มสะเต๊ะ เพราะสะเต๊ะ ของที่นี่จะต้องผ่านการหมักเครื่องจนเข้าถึงเนื้อใน ให้ความหอมของเครื่องเทศและรสชาตินุ่มละมุน เวลาทานก็จะทานคู่กับอาจาดเท่านั้น ซึ่งรสชาติ ความอร่อยนี้ ได้เลื่องลือไปไกล จนกลายเป็นที่มาของชื่อ “สะเต๊ะลือ”ในปัจจุบันค่ะ



          มัสมั่นไก่  เมนูอาหารไทยที่ปัจจุบันได้ขึ้นชื่อระดับโลกไปแล้วนี้ เป็นอีก 1 เมนูที่ทางร้านภูมิใจ โดยน้ำพริกแกงมัสมั่นของที่นี่ ต้องเป็นน้ำพริกแกงที่ตำเองเท่านั้น เพื่อคงรสชาติความอร่อยไว้อย่างลงตัว เพิ่มความวิจิตรของอาหารด้วยการแกะสลักลงในวัตถุดิบที่ใช้ ในการทำ ไม่ว่าจะเป็น มันฝรั่ง หรือ หอมแดง หาก คุณผู้อ่านท่านใด นิชมชมชอบการรับประทานเนื้อ ก็สามารถสั่งเป็น มัสมั่นเนื้อก็ได้ ค่ะ โดยทางร้านเน้นย้ำมาว่า ถ้าเป็นเมนูเนื้อ เนื้อที่ท่านจะได้ทานนั้น จะหอมเครื่องเทศ และ นุ่มมาก ไม่เหนียวและคาวเลยค่ะ



          ต้มยำกุ้ง  อีกหนึ่งเมนู ที่เป็นรู้จักของชาวต่างชาติ มาเป็นระยะเวลานาน จนเรียกได้ว่าเป็น อีกหนึ่งสัญลักษณ์ ของประเทศไทย ในสายตาชาวต่างชาติ ไปแล้ว นั้น เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ทางร้าน ขอแนะนำค่ะ โดยกุ้งที่ทางร้านใช้ จะเป็นกุ้งแม่น้ำตัวกำลังดี ที่สำคัญทางร้านจะใช้กุ้งเป็นเท่านั้น มาปรุงเป็นอาหาร เพื่อคงความสดใหม่ และ รสชาติค่ะ โดยสูตรต้มยำของที่นี่ จะเน้นแบบโบราณที่เป็นต้มยำน้ำใส ไม่ใช้กะทิ ไม่ใช้ นมสด หรือ น้ำพริกเผา ความมันที่เกิดจะเกิดจากมันกุ้ง สำหรับรสชาตินั้น ทางร้าน จะมีรสชาติต้นตำรับไว้แล้ว เมื่อปรุงเสร็จ จะส่งมาให้ลูกค้าได้ชิมก่อนว่า ต้องการปรุงเพิ่มแบบใด จึงจะปรุงให้ถูกปากกับลูกค้าทุกโต๊ะได้ค่ะ



          ต้มกะทิเนื้อ เมนูนี้ สำหรับคนทานเนื้อทุกท่าน PaiNaiDii Diary ขอแนะนำเลยว่า ถ้าได้ไปที่ร้านนี้ต้องสั่งค่ะ เพราะต้มกะทิเนื้อของที่นี่ จะไม่มัน ไม่เลี่ยน ตัวเนื้อจะนุ่มมาก สำหรับน้ำต้มให้ความรู้สึกคล้ายต้มข่า แต่อร่อยและกลมกล่อมกว่ามาก  ในแต่ละคำที่ทานเข้าไปให้ความรู้สึกหอมเครื่องเทศและเครื่องปรุงรสแบบไทยๆ ทั้ง ตะไคร้ หอมแดง  ช่วยเจริญอาหาร ทานจานนี้เข้าไปรับรอง ต้องสั่งเพิ่มข้าวค่ะ



          ขนมเบื้องไกรลาส  เมนูของว่างกึ่งของคาวเมนูนี้ คุณๆผู้อ่าน สามารถจะทานเป็น ออเดิร์ฟ หรือ ทานพร้อมข้าวก็ได้ค่ะ โดยเมนูนี้เป็นเมนูอาหารไทย ที่มีมายาวนานนับเนื่องตั้งแต่สมัยอยุธยาเลยก็ว่าได้ โดยแต่เดิมจะนิยมทานกันมากในช่วงเดือน 12 หลัง ลอยกระทง ค่ะ เพราะเป็นช่วงที่เชื่อกันว่า กุ้งมีรสชาติดีที่สุด แต่ปัจจุบัน สามารถสั่งมาทานที่ร้าน “บุษราคัม” ได้ทุกวัน โดยไม่ต้องรอน้ำลดนะคะ จุดเด่นของเมนูนี้ จะอยู่ที่แป้ง ซึ่งบางและไม่กรอบ หรือ นิ่มจนเกินไป วางตั้งไว้ ก็ยังคงความอร่อย ส่วนตัวไส้ ก็จะคล้ายขนมเบื้องทั่วไป แต่เน้นไปที่ตัวกุ้งตัวเขื่อง อร่อยเต็มคำ และปรุงรสไม่หวานจนเกินไป จึงทำให้ทานได้ทั้งเป็น ของว่าง และ ของคาวเลยค่ะ



          มะกรูดลอยแก้ว ตบท้ายเมนูวันนี้ ด้วยของหวานแบบไทยๆ  ชื่อแปลก  ที่เชื่อว่า ผู้คนยุคดิจิตอลอย่างเราๆ ไม่น่าจะรู้จัก และเชื่อว่า หลายคนคงแอบคิดแบบเราว่า ไอ้เจ้ามะกรูด เนี่ย จะสามารถ นำมาทำเป็นของหวาน ตระกูลลอยแก้ว ได้อย่างไร  เราจึงไม่รอช้า ขอดูหน้าตาและลิ้มลองรสชาติกันในทันที


          สำหรับเมนูนี้ ทางร้าน ได้นำผลมะกรูด ขนาดพอเหมาะ นำมาปอกเปลือกจนเกลี้ยง แล้วคว้านไส้ จนเหลือแต่เนื้อ เสร็จแล้วก็ไม่ทิ้งความเป็นอาหารชาววัง ด้วยการ แกะสลักตัวผลมะกรูด แล้วจึงนำมาลอยแก้วในน้ำเชื่อม สีที่เราเห็นเป็นสีเขียวนี้ เป็นสีที่ได้จากตัวมะกรูดเลยค่ะ ให้สีสันสวยงามมาก ส่วนเรื่องรสชาตินั้น ตัวน้ำลอยแก้วจะหวานเข้มมาก แต่เมื่อทานคู่กับเนื้อมะกรูด จะให้รสชาติออกขมนิดๆ หวานหน่อยๆ ตัดกันดี ส่วนใครที่ชอบทานแบบน้ำหวานเจือจาง ก็สามารถทานคู่กับน้ำแข็งได้ค่ะ ซึ่งเมื่อเติมน้ำแข็งลงไป รสชาติของน้ำหวานจะเจอจางลง แต่จะสามารถรับรสของมะกรูดได้เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึก ขมซ่าขึ้นมาอีกนิด แต่ หอมรสสมุนไพรเพิ่มขึ้น งานนี้ ใครชอบอาหารไทยโบราณ ชอบทานมะกรูด คงได้ใจกับเมนูนี้ไปเต็มๆค่ะ


          นอกจากเมนูที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ยังคงมีเมนู อาหารไทยชาววังอีกมากมาย ที่รอทุกท่านให้มาลองลิ้มชิมรสกันดูค่ะ ซึ่งเมนูของที่นี่ นอกจากรสชาติจะอร่อย ถูกปากแล้ว ความวิจิตรบรรจง และ พิถีพิถัน ในทุกๆรายละเอียดของการจัดทำ น่าจะเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ ที่เรียกให้ลูกค้า ยังคงติดตามมาเป็นลูกค้าประจำถึงปัจจุบัน


          และด้วยความขึ้นชื่อในฝีมือของการปรุงอาหาร รวมไปถึงความปราณีตในทุกขั้นตอนของการรังสรรค์ อาหารไทย และต้องการคงคุณค่าอาหารไทยให้ออกไปสู่กลุ่มคนที่กว้างขวางขึ้นนี่เอง  ทางร้านจึงได้เกิดโปรเจ็ค “Cooking Class” ขึ้น โดยเปิดเป็นโรงเรียน สอนทำอาหาร   เพื่อสอนให้แก่ ผู้ที่รักการทำอาหารไทยที่ต้องการเปิดร้านอาหารไทย หรือต้องการทำอาหารไทยแบบชาววังได้ โดยการเรียนการสอนในโปรเจ็ค “Cooking Class” นี้ ทางร้านได้ดำเนินการมาราว 7-8 ปี แล้ว ซึ่ง หากสนใจสามารถโทรเข้ามาสอบถามได้ โดยรับคลาสละไม่เกิน 30 คน โดยระยะเวลาและค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับคลาสที่ลงเรียน ว่าจะเลือกเรียนเป็น คลาสเล็ก 3 รายการ ( ระยะเวลาประมาณ 2 ชม. ค่าใช้จ่าย 2,500 บาท) , คลาสกลาง 10 รายการ ( เรียน ประมาณ 2 วัน ค่าใช้จ่าย 10,000 บาท) หรือ คลาสใหญ่ 20 รายการ (  เรียน ประมาณ 3-4 วัน ค่าใช้จ่าย 20,000 บาท) ซึ่งในการเรียนนี้   ผู้เรียนจะได้รับสูตรอาหาร พร้อมการลงมือปฏิบัติจริง ( หากกลุ่มใหญ่ อาจจะได้ลงมือทำในรูปแบบกลุ่มย่อย )  และช่วงกลางวัน ทางร้านจะมีเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้เรียนทุกท่านด้วยค่ะ  ซึ่งถ้ามาลองคำนวณดู เมนูอาหารไทย ที่ร้านไม่หวงสูตร ได้ลองปฏิบัติจริง และมีเลี้ยงอาหารกลางวัน ในราคาเฉลี่ย เมนูอาหารเมนูละประมาณ 1,000 บาท ถือว่าคุ้มมากๆ


          หลังจากอิ่มหนำกับรสชาติ อาหารไทย ที่ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย แล้ว ก็ได้คิดว่า สาเหตุที่คนในยุคก่อนมีชีวิตยืนนาน สุขภาพแข็งแรง น่าจะเป็นเพราะ อาหารทุกอย่างที่ทาน มีส่วนผสมของธรรมชาติที่ไร้สารพิษ บวกกับ วิถีชีวิต ที่เรียบง่ายและ ความเป็นอยู่ที่วิจิตรบรรจง ทำให้สภาพจิตใจผ่อนคลาย สุขภาพดี ชีวิตยืนนาน ว่าแล้วก็หันมาเริ่มปรับตัวตั้งแต่วันนี้ ทานอาหารไทยให้มากขึ้น ลดอาหารขยะให้น้อยลง ว่าแต่คุณๆล่ะคะ วันนี้คุณทานอาหารไทย แล้วหรือยัง !!!

แหล่งข้อมูล https://www.painaidii.com

อัพเดทล่าสุด